จากกรณีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี หลังมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ที่ก่อเหตุ ล่อลวงหญิงสาวผู้เสียหายหลายรายไปข่มขืนและกระทำอนาจารนั้น
วันที่ 22 เม.ย. 65 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อมอบหนังสือไปยังผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ตรวจสอบพลตำรวจตรีท่านหนึ่ง ที่พยายามจะเข้ามาแทรกแซงในการทำคดีข่มขืนกระทำอนาจารของอดีตนักการเมือง เกรงว่าจะทำให้เกิดความไม่โปร่งใส และเกรงว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้กระทำผิด
โดยจากการตรวจสอบชื่อและนามสกุลของพลตำรวจตรีท่านนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงทางสายเลือดกับเยาวชนหญิงอายุ 18 ปี ผู้เสียหาย นายพลตำรวจตรีท่านนี้ทราบเรื่องตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเกิดเหตุถูกกระทำอนาจาร แต่ไม่แนะนำให้ผู้เสียหายที่อ้างว่าเป็นหลานไปแจ้งความ พร้อมมีการบอกกับทางครอบครัว ซึ่งเป็นแม่ของผู้เสียหายว่าไม่ให้เป็นข่าว
ส่วนตัวมีความกังวลใจว่าภายในอนาคตอาจจะถูกผู้สอดแทรกทางคดี แล้วถูกบีบบังคับให้กลับคำให้การภายในอนาคต แม้ว่าส่วนตัวจะมั่นใจในพยานหลักฐานว่าสามารถเอาผิดได้อย่างชัดเจนก็ตาม แต่ในวันข้างหน้า ไม่ได้ถูกสื่อนำเสนอจนเป็นที่สนใจของสังคม แล้วศาลฎีกานัดมาไต่สวนพยานมูลฟ้องในภายหลัง ก็กังวลว่าผู้เสียหายจะให้การที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลังจนน้ำหนักเบาลง แต่ตอนนี้เหยื่อที่ร้องผ่านตนมายังไม่มีใครกลับคำให้การ
ส่วนการเก็บหลักฐานของน้องผู้เสียหายวัย 18 ปี ขณะนี้คิดว่าตำรวจเก็บหลักฐานอย่างครบถ้วน ทั้งคำให้การของผู้เสียหายที่มาให้การวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ แม่ผู้เสียหาย พยานแวดล้อมคือคนขับแท็กซี่ และหลักฐานกล้องวงจรปิด ซึ่งส่วนตัวมองว่าได้เห็นตำรวจ เก็บหลักฐานทุกอย่าง และมีการสอบปากคำผู้เสียหาย พยาน นัดไปชี้จุด เพื่อเก็บหลักฐานโดยละเอียด และยังคงเชื่อมั่นในกระบวนการของตำรวจ
ในขณะที่ผู้เสียหายที่ถูกกระทำในประเทศอังกฤษก็มีการพูดคุยกับตน และเล่าเหตุการณ์ให้ตอนฟังคร่าว ๆ ซึ่งถ้าถามถึงพฤติกรรมก็ยังคงใช้อำนาจและตำแหน่งของตัวเองในการล่อลวงไปกระทำชำเรา ตอนนั้นนักการเมืองท่านนี้ทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และบอกกับเหยื่อว่า สามารถคุยกับผู้จัดการธนาคารนี้ให้รับเข้ามาทำงานในองค์กรได้
ก็ยังยืนยันชัดเจนว่าในทางคดีสามารถหยุดไว้ได้ และยังไม่มีการตัดสินแพ้ชนะตามที่ฝั่งของคู่กรณีได้มีการออกมาให้ข่าวว่าคดีจบไปแล้ว พร้อมยังให้กำลังใจกับเหยื่อรายอื่นรวมถึงตนว่าให้ต่อสู้กับพฤติกรรมอันโหดร้ายของอดีตนักการเมืองท่านนี้ที่กระทำมานาน แต่ไม่ถูกดำเนินคดี
ทนายตั้ม ยืนยันว่าไม่ได้กังวลเรื่องการฟ้องกลับ เพราะตอนมาทำคดีนี้รู้อยู่แล้วว่าผู้ต้องหาเป็นใคร และตอนให้สัมภาษณ์พยายามไม่ระบุตัวตน ไม่ระบุชื่อ เพราะป้องกันการถูกฟ้องกลับอยู่แล้ว และยืนยันว่ามาถึงตอนนี้ไม่สามารถหยุดเคลื่อนไหวได้แล้ว เพราะผู้เสียหายมีจำนวนมาก เป็นภัยสังคม ถ้าไม่หยุดตั้งแต่วันนี้อาจจะมีคนถูกกระทำอีก ดังนั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแค่คนใดคนหนึ่งแล้ว ส่วนกรณีที่ตำรวจดำเนินคดีกับลูกนัท มองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้มีผลต่อเนื้อหาของคดี ขณะนี้ตนเองก็ยังไม่มีการประสานมาจากพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อขอข้อมูลของผู้เสียหาย
ทีมข่าวตรวจสอบ ไปยังพลตำรวจตรี ท. พบว่าเป็นอดีตตำรวจในภาค 2 ปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว บอกว่า ส่วนตัวเป็นอดีตตำรวจ ซึ่งเกษียณอายุราชการมาหลายปีแล้ว สำหรับในความสัมพันธ์ของแม่น้อง 18 ปี ก็ไม่ได้เป็นญาติกันโดยสายเลือด มีความเคารพนับถือกันมานานกว่า 20 ปี หลังคุณแม่ทราบข่าวจากลูกสาวก็เกิดความกระวนกระวายไม่สบายใจ จึงมาปรึกษาตน ตนก็ให้คำแนะนำกับทางครอบครัวว่าให้ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเจ้าของคดีความ ซึ่งไม่ได้มีการพาไปแจ้งความเนื่องจากว่าอาศัยอยู่คนละที่กัน
ตนยืนยันไม่ได้เป็นคนกลางระหว่างทนายตั้มกับคุณแม่น้องในเรื่องของคดีความ ส่วนตัวก็ไม่ได้มีความเข้าไปเกี่ยวข้องอะไร ไม่เคยคุยกับพนักงานสอบสวน ไม่รู้จักนักการเมืองคนดังกล่าว ทีแรกเข้าใจว่าเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ ความเป็นจริงแล้วตนก็ไม่ได้อยากยุ่งอะไร เพราะไม่ใช่เจ้าของคดี อีกอย่างอายุก็มากแล้ว
กรณีทนายตั้ม ยื่นหนังสือไปทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อตรวจสอบตนนั้น มองว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางคดี ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้แต่อย่างใด เพียงแค่ให้คำปรึกษาเท่านั้น หลังจากที่ให้คำปรึกษาไปตั้งแต่แรก ๆ ส่วนตัวก็ไม่ได้มีการติดต่อกับทางคุณแม่ของน้อง 18 ปี ที่เป็นผู้เสียหายอีก ทั้งนี้ ขอไม่ชี้แจงผ่านสื่อและไม่ขอแถลงข่าว เนื่องจากมองว่าไม่มีความจำเป็น ตนก็ไม่ได้อยากยุ่งกับคดีนี้ ตนแก่แล้ว ไม่อยากดัง
ล่าสุด นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "ทนายคลายทุกข์" กล่าวช่วงหนึ่งว่า ในคดีนี้ผิดถูกยังไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาถูกกล่าวหา แหล่งข่าวของตนเองที่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหา แจ้งมาว่าความจริงไม่ได้ปรากฏตามข่าว และตอนนี้ไม่มีพยานหลักฐานใดที่บอกว่ามีการข่มขืนกระทำชำเรา
ทั้งนี้ "เร็ว ๆ นี้ อาจจะมีผู้หวังดีส่งหลักฐานมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าคดีนี้อาจไม่ใช่คดีล่วงละเมิดทางเพศ อาจจะเป็นคดีสมยอมก็ได้ หรืออาจจะเป็นคดีที่ไม่มีการข่มขืนก็ได้ ซึ่งเร็ว ๆ นี้ก็จะส่งมา จะส่งต่อให้สำนักข่าวต่าง ๆ นำไปเผยแพร่ เพราะฉะนั้นเหรียญมี 2 ด้าน อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่น" ทนายเดชา กล่าว ส่วนกรณีร้องเรียนว่ามี พล.ต.ต. แทรกแซงคดีนั้น ทางตำรวจได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีการแทรกแซงคดีอย่างแน่นอน