กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งเผยแพร่แชตไลน์ระหว่างหลานสาวที่ติดเชื้อโควิด-19 และกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ตัว สนทนาพูดคุยกับพยาบาลโรงพยาบาลสนาม โดยหลานสาวทักไปว่า "เลือดออกเยอะมาก ไม่ไหวแล้ว กลัวตาย" และสุดท้ายก็เสียชีวิตทั้งแม่และเด็กในท้อง ทราบชื่อผู้ตายภายหลังว่า นางสาวสุภาวดี หรือ แอ๋น อายุ 40 ปี
ทั้งนี้ เจ้าของโพสต์ ยังได้ระบุข้อความว่า "#เปิดแชตที่หลานคุยกับพยาบาลก่อนตาย ในโรงพยาบาลสนาม #ซึ่งอยู่ภายในโรงพยาบาล คำขอความช่วยเหลือ ให้ช่วยชีวิตเขา ก่อนสิ้นใจ (หลานสาวทานยา โดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้องอ่อน ๆ ครับ) หลานสาวติดโควิดเข้ารักษา 13 เมษายน และทานยาปกติโดยไม่รู้ว่าตัวเองท้อง วันที่ 15 เมษายน เด็กในท้องคงแพ้ยาที่ทานเข้าไป ทำให้เด็กเสียชีวิต ช่วงหัวค่ำน้องบอกปวดท้องมีเลือดซึม และแท้งออกมาช่วงที่เลือดออกมาก ๆ ครับ”
ล่าสุดวันที่ 25 เม.ย.65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพูดคุยกับ นางสาววิลาภรณ์ โพธิ์ชัยศรี อายุ 37 ปี ลูกพี่ลูกน้อง เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับพี่สาวของตนเมื่อวันที่ 13 เมษายน 65 ขณะที่พาคุณพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดร้อยเอ็ด เนื่องจากคุณพ่อมีอาการแขนขาอ่อนแรง ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลจัดให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนผลปรากฏว่าทั้งพี่สาวและพ่อติดเชื้อโควิด-19 จึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าว เนื่องจากว่าคุณพ่อมีอาการป่วย ในช่วงบ่ายของวันนั้นตนจึงนำของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าไปให้ที่โรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 65 ช่วงเช้า ๆ พี่สาวเริ่มมีเลือดออก และขอให้ตนนำผ้าอนามัยไปให้ ซึ่งก็คิดว่ายังปกติดี ส่วนอาการโควิด-19 นั้นไม่มีความรุนอรงมาก จากนั้นเวลา 20.30 น. พี่สาวมีเลือดออกคล้ายประจำเดือน แต่มีในปริมาณที่มากกว่าปกติ จึงร้องขอความช่วยเหลือจากพยาบาล แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร กว่าคุณหมอจะลงมาให้น้ำเกลือก็เกือบจะเที่ยงแล้ว
ทั้งนี้ โรงพยาบาลแจ้งครอบครัวว่าพี่สาวเสียชีวิตในช่วงเวลา 06.00 น. ของวันที่ 16 เมษายน 65 หลังจากนั้นจึงมาเปิดข้อมูลในโทรศัพท์ของพี่สาว จนทราบรายละเอียดช่วงก่อนเสียชีวิต ขณะที่ครอบครัวยังติดใจเรื่องการให้การรักษาของโรงพยาบาลควรจะรวดเร็วกว่านี้ ตนจึงไปร้องขอคำอธิบายจากโรงพยาบาล ในวันที่ 20 เมษายน 65 มีการพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่ยังไม่มีการให้คำตอบและไม่มีการเรียกแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้องมาพูดคุย รวมถึงยังไม่มีการชดใช้เยียวยาใด ๆ
ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตแพทย์ระบุว่า “เลือออกในโพรงมดลูก” แต่ไม่มีคำอธิบายที่ไปที่มาใด ๆ ให้ญาติ ๆ ได้รับทราบ ส่วนการตั้งครรภ์ครอบครัวเพียงสันนิษฐาน เพราะลักษณะเลือดออกคล้ายการตกเลือด พี่สาวมีโรคประจำตัว คือ ไขมันสูง โดยพี่สาวมีลูกชาย 2 คน อายุ 12 ปี และอายุ 8 ปี ลูกชายคนโตมีปัญหาด้านการได้ยิน ส่วนพ่อและแม่ก็มีโรคประจำตัว พี่สาวถือเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่กลับต้องมาเสียชีวิตไม่ได้รับความเป็นธรรม
"ตอนนี้ทางครอบครัวยังไม่รู้ว่า พยายาล หรือหมอเป็นใคร แต่อยากจะฝากไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เคสของพี่สาวเป็นเคสสุดท้ายได้ไหม และอยากให้เป็นมาตรฐานเดียวกันมากกกว่านี้ทั้งประเทศ ยกตัวอย่างพี่สาวขอแค่ผ้าถุง แต่ไม่มีให้ สะท้อนระบบสาธารณสุขอย่างมาก พี่สาวระบุในแชตว่ากลัวตาย ครอบครัวเห็นแล้วหดหู่จริง ๆ และบีบหัวใจมาก คือ พี่สาวเป็นคนรักครอบครัว ห่วงลูก ๆ พ่อกับแม่มาก" นางสาววิลาภรณ์ กล่าวให้ฟัง
ทีมข่าวยังได้รับคลิปเสียงสนทนาจากญาติผู้ตาย ที่โทรศัพท์พูดคุยกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาด้วยกันกับผู้ตาย
โดยนางแจ๋ว (นามสมมติ) ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าให้ฟังว่า เวลาประมาณ 20.00 น. ผู้ตายไปเข้าห้องน้ำ และมีเลือดออกจำนวนมาก ตนจึงให้แพมเพิสผู้ใหญ่ไป แต่ก็มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เลือดออกเยอะมาก ๆ เต็มห้องน้ำ ตนและคนอื่น ๆ จึงเข้าไปช่วยกัน ก่อนจะรีบโทรศัพท์แจ้งแพทย์ และพาผู้ตายมานั่งเก้าอี้ จากนั้นหมอมาดูสักพักก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วก็กลับไป
ในเวลาประมาณ 22.00 น. หมอขอปัสสาวะไปตรวจ ซึ่งมีแต่ก้อนเลือดใหญ่ ๆ ไหลออกมา ตนมองว่าเป็นอาการตกเลือด จึงบอกให้ช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาเวลา 23.00 ผู้ตายเลือดไหลออกมาจำนวนมาก แล้วเขาก็บอกกับตนว่า “แม่อย่าทิ้งหนูนะ ๆ” ตนจึงตอบกลับว่า “ไม่ทิ้งหนูหรอก เราจะอยู่ด้วยกัน”
อย่างไรก็ตาม ตนจึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งแพทย์ว่า "เลือดออกเยอะ เขามีอาการมือชา หัวใจเต้นแรง" ระหว่างรอตนจึงบีบนวดให้ก่อน เพราะขณะนั้นหมอยังไมมา ไลน์ก็ยังไม่อ่าน จึงพิมพ์ไปบอกว่า "ให้เอาน้ำเกลือมาให้หน่อย กลัวจะตาย" จากนั้นหมอก็มาพร้อมน้ำเกลือ มีรถมารับประมาณ 01.30 น. ตนนึกว่าผู้ตายจะปลอดภัย กระทั่ง เวลา 06.00 น. ตนทราบข่าวว่าเขาหัวใจหยุดเต้นแล้ว
ทีมข่าวเดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว แต่โรงพยาบาลมีมาตรการการคัดกรองมิให้บุคคลภายนอกเข้าก่อนได้รับอนุญาต โดยนพ.สุพัตร บุรณะเวช ผู้อำนวยการโรงพยาบาล กล่าวชี้แจงผ่านโทรศัพท์ว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโรงพยาบาลได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้วว่าครอบครัวผู้เสียชีวิตไปร้องเรียนกับสื่อมวลชน ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันว่าจะออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนในวันและเวลาใด
"ในวันนี้โรงพยาบาลได้พยามติดต่อให้ญาติเข้ามาพูดคุยแล้ว แต่ญาติ ๆ ตอบกลับมาว่าวันนี้ไม่สะดวกที่จะมาพบ ที่ผ่านมาโรงพยาบาลขอยืนยันว่าติดต่อกับญาติตลอด กระทั่งการให้คำปรึกษาเรื่องของประกัน สิทธิที่ผู้เสียชีวิตจะได้รับ โรงพยาบาลจึงกำลังตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจากทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจาก บุคลากรที่มีอยู่ต้องทำงานสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดเวลา" นพ.สุพัตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เรื่องแชตสนทนาที่พยาบาลตอบโต้กับผู้เสียชีวิต ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นพยาบาลคนใด เช่นเดียวกับอาการของผู้เสียชีวิตที่มีเลือดออกเป็นจำนวนมากก่อนเสียชีวิต ขณะนี้ทีมแพทย์อยู่ระหว่างการวินิจฉัย ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดมาจากการตกเลือด หรือจากการให้ยาส่งผลให้ฮอร์โมนของผู้เสียชีวิตผิดปกติหรือไม่ ทั้งนี้ โรงพยาบาลขอยืนยันว่าจะยังคงให้การช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเท่าที่โรงพยาบาลจะช่วยเหลือได้