จากกรณีอดีตพระพงศกร ปภัสสโร หรือ "หลวงพี่กาโตะ" พระนักเทศน์ชื่อดัง จ.นครศรีธรรมราช ตกเป็นข่าวฉาวหลังมีคลิปเสียงสนทนาเผยสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับหญิงสาวรายหนึ่ง ซึ่งถูกให้ความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกระแสสังคมได้กดดันอย่างหนักเกี่ยวกับความไม่เหมาะสม ต่อมาเมื่อเวลา 21.34 น. ของวันที่ 30 เม.ย. 65 เจ้าตัวได้ประกาศลาสิกขาแล้วนั้น
น.ส.ตอง เล่าจุดเริ่มต้นที่ได้รู้จักอดีตพระกาโตะ คือเล่นอินสตาแกรมอยู่ แล้วเลื่อนไปพบคลิปของอดีตพระกาโตะพูดคำคม รวมถึงคำสอนธรรมะต่าง ๆ จึงเข้าไปดูโพรไฟล์แล้วพบว่าเป็นพระดัง จึงตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสจะเข้าไปทำบุญด้วยสักครั้ง เพราะต้องการหาที่พึ่งทางใจ จึงได้มีการทักไปพูดคุยกับอดีตพระกาโตะผ่านทางอินสตาแกรมตั้งแต่เดือน พ.ย. 64 แล้ว เพื่อที่จะหาเวลาไปทำบุญด้วย แต่เวลาไม่ตรงกัน
พอถึงวันที่ 31 ม.ค. 65 มีเวลาตรงกันพอดี ตนจึงเดินทางไปหาอดีตพระกาโตะที่วัด พร้อมกับแม่ เมื่อไปถึงอดีตพระกาโตะก็พาเดินดูรอบวัด และเข้าไปคุยกันในโบสถ์ พูดคุยกันเรื่องธรรมะ ตนก็พูดคุยระบายความทุกข์ บอกว่าตัวเองป่วยอยู่เป็นโรคไบโพลาร์กับโรคซึมเศร้า อดีตพระกาโตะจึงสอนคติธรรมให้กับตน และก็ได้ไปถวายเพล พอถวายเพลเสร็จก็ถวายปัจจัยแก่อดีตพระกาโตะ แล้วก็จะเดินทางกลับ แล้วแม่บอกว่าสบายใจจังที่ได้มาทำบุญ ตนจึงบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาทำบุญใหม่ ถ้าจะเข้ามาเดี๋ยวทักมาทางอินสตาแกรมเหมือนเดิม อดีตพระกาโตะจึงบอกว่าเดี๋ยวเอาเบอร์โทรไปและแอดไลน์มาได้เลย หลังจากนั้นก็ได้แอดไลน์ไปคุยกัน
บทสนทนาคำแรกหลังจากแอดไลน์ตนก็แนะนำตัว อดีตพระกาโตะตอบกลับมาว่า "ครับ ถึงบ้านแล้วหรอ" และ "ดีจังเลย ถ้ามีโอกาสอยากจะไปทานอาหารที่ร้าน" เพราะบ้านของตนเปิดร้านอาหาร หลังจากนั้นก็ได้บอกว่า "ถ้าพระมีกิจนิมนต์ที่ไหนแล้วไม่มีคนขับรถให้บอกนะ เดี๋ยวจะไปขับรถให้" เพราะเราไปแล้วเราสบายใจ แต่เราจะพาคนอื่นไปเป็นเพื่อนด้วย หลังจากนั้นก็ได้มีการพูดคุยกันมาเรื่อย ๆ
สำหรับคืนที่มีอะไรกันบนรถ ตอนแรกอดีตพระกาโตะได้ชักชวนไปดูดาว หลังจากที่เสร็จจากกิจนิมนต์ นัดหมายในเวลาประมาณ 22.00 น. ซึ่งให้ตนเป็นคนไปรับและให้ปิดไฟหน้ารถ สภาพที่อดีตพระกาโตะเดินมาขึ้นรถคือหอบผ้าห่มพะรุงพะรัง โดยนั่งเบาะหลัง พร้อมกับเป็นคนบอกเส้นทางให้ เมื่อไปถึงได้จอดรถอยู่ริมทาง อดีตพระกาโตะอ้างว่าหากเป็นกลางวันจะสวยมาก ก่อนที่ตัวเองจะบอกว่า "มา ๆ เดี๋ยวตองนวดให้ งั้นตองไปนั่งเบาะหลังนะ" พร้อมกับสอบถามและยกมือไหว้ว่า "ขอโทษนะคะ ถ้าตองจับเนื้อต้องตัวจะบาปหรือไหม" ซึ่งอดีตพระกาโตะบอกว่า "ไม่ เรามีเจตนาดี มานวด" พอนวดไปสักพักอดีตพระกาโตะถามว่า "รู้เส้นได้ไง" จากนั้นก็สนทนากันตามปกติ คุยกันได้ 2 ชั่วโมง
อดีตพระกาโตะชมว่า "เธอสวย" แต่ตนได้ปฏิเสธ ก่อนที่บรรยากาศจะพาไป อดีตพระกาโตะได้ขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับจูบ ก่อนที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยไม่ได้ป้องกัน ขณะที่มีอะไรสอบถามแล้วว่าบาปหรือไม่ อดีตพระกาโตะบอกเพียงว่า "เรามีเจตนาดี ไม่บาป" จากนั้นก็พาอดีตพระกาโตะกลับไปที่วัด และมีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ ตนสาบานว่า "ไม่คิดว่าจะมีเรื่องชู้สาว" ภายหลังจากที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง สอบถามกับอดีตพระกาโตะว่าการกระทำดังกล่าวผิดหรือไม่ อดีตพระกาโตะบอกว่าเราเจตนาดี ไม่ได้แย่งของใครมา แต่ลึก ๆ ในใจแล้วตนคิดว่าบาปแน่นอน จากนั้นตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทางอดีตพระกาโตะ 2 ครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่ 2 ห่างกัน 1 เดือน และมีการสนทนาที่อดีตพระกาโตะได้เรียกตนว่าเมียด้วย ขณะเดียวกันอาการที่ตนป่วยก็แย่ลง เพราะสมองมีการสับสนว่าอะไรผิดอะไรถูก จะทำสิ่งถูกต้องหรือจะทำอย่างไรต่อไป นอกจากนี้แล้วภายหลังจากที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตพระกาโตะเริ่มไม่พูดคุยเหมือนแต่ก่อน
ยอมรับเองว่าตัวเองก็มีส่วนผิดที่ทำเรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตพระกาโตะทำผิดโดยไร้เดียงสา และยอมรับว่าไม่ได้มีสัมพันธ์กันครั้งเดียว ครั้งที่อดีตพระกาโตะเรียกตนว่าเมีย ส่วนสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ออกมาให้สัมภาษณ์ ยอมรับว่าตัวเองป่วยจึงกุเรื่องดังกล่าวออกมาทำให้อดีตพระกาโตะเสียหาย ตนยืนยันกับหมอปลาว่าที่ต้องทำไปแบบนั้น เพราะรู้สึกเครียดและกดดันจากการที่พระผู้ใหญ่รูปหนึ่งติดต่อมาอ้างว่าเป็นตัวกลางช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งพระผู้ใหญ่รูปนั้นให้คำแนะนำว่าให้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนลักษณะนี้ แล้วจะทำให้เรื่องจบลงด้วยดี ในขณะนั้นพ่อของอดีตพระกาโตะก็ติดต่อมาบอกว่าจะมอบเงินให้ 300,000 บาท เพื่อแลกกับการจบเรื่องดังกล่าวด้วย
นางสาวตอง บอกต่อหน้าสื่อว่า ตนขอโทษวงการพระพุทธศาสนา ขอโทษทุกคนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เดือดร้อน ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบและขาดสติ หลังจากนี้ตนเองจะขอแก้ตัว ทำอะไรก็จะมีสติมากขึ้น ส่วนกรณีที่อดีตพระกาโตะอ้างว่า ที่ตนออกมาแฉเพราะต้องการแบล็กเมลนั้น ตนเองเชื่อว่าเรามีความรู้สึกดี ๆ ให้กัน ไม่งั้นคงไม่อยู่มาถึง 3 เดือน เพราะถ้าคนคุยกันแล้วรู้สึกไม่ใช่สัปดาห์เดียว เขาก็เฟดตัวออกมา ตนเองก็ศรัทธาและเชื่อในความรัก จึงทำให้ตนเองกับอดีตพระกาโตะได้คุยกันต่อ ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าอดีตพระกาโตะคิดอย่างไร พร้อมยอมรับว่าค่อนข้างตกใจที่ได้ยินอดีตพระกาโตะบอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับตนเอง
เมื่อนักข่าวถามว่ารักอดีตพระกาโตะหรือไม่ เจ้าตัวใช้เวลาคิดประมาณ 10 วินาที ตอบว่า "จะใช้แบบนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้ค่อนข้างทำใจได้แล้ว เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ด้วยอายุ ความสัมพันธ์ และอะไรหลายอย่างที่เป็นไปไม่ได้ จึงเลือกเฟดตัวออกมา และมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง ที่มันติดอยู่ในใจตนเอง" พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพราะต้องการให้อดีตพระกาโตะสึกมาอยู่ด้วย เพราะอายุทั้ง 2 คนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้แน่นอน
ส่วนประเด็นที่อดีตพระกาโตะบอกว่าตนเองมีพฤติกรรมยั่วยวนก่อนนั้น ยืนยันว่าทุกครั้งที่ไปเจอกัน ตนเองสำรวมตลอด และแต่งกายมิดชิดตลอด ทั้งนี้ตนเองได้สังเกตสายตาของอดีตพระกาโตะตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปทำบุญว่าหลังจากทำบุญเสร็จและขับรถออกมา สายตาเขามองตามตลอด ทำให้ตนเองรู้สึกแปลกตั้งแต่วันนั้น
เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่ออกไปเขื่อนด้วยกันสองคนตอน 22.00 น. อธิบายว่าอดีตพระกาโตะย้ำกับตนเองทุกครั้งว่ามีเจตนาดี ไม่บาป ซึ่งตนเองก็เชื่อในคำพูดของเขา แม้ใจลึก ๆ จะรู้สึกบาปก็ตาม แล้วพฤติกรรมที่อยู่บนรถและไปนวดให้นั้น ตนเองได้ถามก่อนแล้วว่าบาปมั้ย เขาบอกว่าไม่บาป ทั้งที่ความรู้สึกตนเองก็รู้ว่าบาป ยอมรับว่ากรณีที่มีสัมพันธ์กันในรถนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ส่วนใครเป็นคนเริ่มก่อนนั้นตนไม่ขอพูด เพราะทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว
ส่วนกรณีเงิน 300,000 บาทที่ได้มา ตนเองยืนยันว่าจะไม่คืน แต่จะเอาไปทำบุญ ตนเองไปรับเงินก้อนนี้ ากคนที่นำมาให้แล้วอ้างว่าเป็นพ่อบุญธรรมของอดีตพระกาโตะ เป็นเงินที่เอามาให้เพื่อไปรักษาตัว ให้ด้วยความเอ็นดูและความเสน่หา แต่เมื่อถามว่าให้เงินเพื่อปิดข่าวเรื่องนี้หรือไม่ เจ้าตัวบอกว่า "อันนี้ก็ตอบไม่ได้"
กระแสออกมาว่าอดีตพระกาโตะให้เงินและข้าวของแก่ตนนั้น ยอมรับว่าได้ให้จริง เพราะช่วงนั้นเป็นการพูดคุยกันในสถานะที่คุยกันได้ทุกเรื่อง เมื่อไรที่ตนมีปัญหา เขาก็จะเสนอเข้ามาช่วยเหลือ และเป็นการคุยกันของคนสองคนเท่านั้น แต่เขาจะเอาไปพูดต่อในลักษณะแบล็คเมลหรือไม่ ตนก็ไม่ทราบได้ แต่ส่วนตัวขอยืนยันว่าที่ออกมาแฉนั้นไม่ใช่เพราะอดีตพระกาโตะไม่ให้เงินตามที่ตนต้องการ แต่เป็นเพราะต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้ง นอกเหนือจากครั้งในรถนั้น ตนขอยังไม่ตอบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมองว่าเป็นเรื่องที่ผ่ามาแล้ว พร้อมกับยอมรับ น้อมรับกับครหาที่ว่า "หญิงก็ชั่ว ชายก็เลว" เพราะวันนี้ตนได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยสิ่งที่ตนทำ มันทำให้ทุกคนได้รู้ ได้ตาสว่างว่าในวงการสงฆ์มีพระแบบนี้อยู่จริง และตนไม่สามารถโกหกใครต่อได้ แล้วที่อดีตพระกาโตะบอกในรายการหนึ่งว่ารู้สึกแค้นตนนั้น ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกอะไร กลับกันคือรู้สึกโล่งมากกว่าที่ได้ทำความดีด้วยความตั้งใจตามที่รอคอยมาตลอด อาจจะรู้สึกอึ้งบ้างที่เขาบอกว่าที่ผ่านมามันไม่ใช่ความรัก เพราะเคยผ่านการบอกรัก บอกคิดถึงกันเสมอ ถึงขั้นที่เรียกตนว่าภรรยาด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้มันไม่เหลือความรู้สึกดีให้แล้ว
ส่วนประเด็นของการรู้จักกับพระย้อย รู้จักกันผ่านเฟซบุ๊ก ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว ช่วงหนึ่งที่รู้สึกอ่อนแอกับเรื่องอดีตพระกาโตะ สิ่งเดียวที่คิดในตอนนั้นมองว่าสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจได้คือพระ แล้วเห็นว่าเฟซบุ๊กของพระย้อยมีเรื่องของธรรมะบ่อยก็เลยตัดสินใจลองคุย เพราะหวังว่าจะทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ยอมรับว่าพระย้อยพยายามจะโทรมาสอบถามเรื่องอดีตพระกาโตะ ในช่วงตี 3 ตี 4 แต่ด้วยความที่ตนกินยารักษาโรคประจำตัวอยู่ คือโรคซึมเศ้ราที่เป็นมา 11 ปี และเมื่อเดือน ธ.ค. 64 ก็เพิ่งตรวจพบว่าเป็นไบโพลาร์กับภาวะแมเนีย หรือภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ จึงมีผลข้างเคียงทำให้จำเรื่องที่คุยกับพระย้อยในตอนนั้นไม่ได้แล้ว
อีกทั้งผลข้างเคียงของอาการป่วย ยังทำให้ตนมีอารมณ์รุนแรงเมื่อถูกขัดใจ แล้วจะทำร้ายคนรอบข้าง แต่จะไม่ทำร้ายตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมามีแม่ที่คอยพาตนไปวัดเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ กระแสออกมาว่าตนจะมีการแฉพระย้อยด้วยนั้น เพราะถูกกดดันจากพระรูปหนึ่ง ตนก็เลยจำเป็นต้องทักไปหาพระย้อยหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้บล็อกการติดต่อไปแล้ว เพื่อขอให้ยุติการให้ข่าว พร้อมกับขอโทษพระย้อย
ซึ่งในระยะหนึ่งที่คบหากับอดีตพระกาโตะ เท่าที่ตนทราบคือเขาบอกว่าไม่เคยมีสัมพันธ์ลักษณะนี้กับผู้หญิงคนอื่น แล้วที่ตนพยายามบันทึกเสียงทุกครั้งที่คุยกับอดีตพระกาโตะ เพราะได้ปรึกษากับหมอปลาไว้ ซึ่งหมอปลาแนะนำว่าหากจะทำสิ่งที่ถูกต้อง มันต้องมีหลักฐาน หลังจากนี้ การดำเนินชีวิตต่อก็คงจะเดินหน้าทำบุญกับ "อุ๊บ-วิริยะ พงษ์อาจหาญ" ซึ่งเป็นน้าคนหนึ่งที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เกิด