คลิปเสียงแตงโม เดชาไม่ทน ฟ้องดะใครใส่ความปล่อยคลิปแตงโม กรณีเฟซบุ๊ก Happy melonmo nida Patcharaweeraphong ได้มีการปล่อยคลิปเสียง
วันที่ 22 พ.ค. 65 เมื่อเฟซบุ๊ก Happy melonmo nida Patcharaweeraphong ได้มีการปล่อยคลิปเสียงแตงโม โดยมีการระบุแคปชั่นด้วยว่า "กระติก & แซน ฆ่าบนบก ก่อนอำพรางศพละรอโยนลงน้ำ ในคืนนั้นก็นัดเจอที่ปั๊ม #ไอ้เพื่อนรัก"
โดยบทสนทนาในคลิปดังกล่าว มีเนื้อหาว่า "น่ากลัวอะ มาทิ้งแบบนี้เดี๋ยวใครก็เจอ สงสารมันอะ แล้วจะไปเจอกันที่ปั๊มทำไมวะ" ซึ่งสังคมต่างจับจ้องว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลบนเรือหรือไม่นั้น
"กระติก อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์" เปิดเผยว่า เรื่องโพสต์ต่าง ๆ ตัวเองก็มีแอบคิดบ้างว่าการที่ตำรวจเอาข้อมูลในมือถือแตงโมไป แล้วก็อาจจะมีการปล่อยให้คนอื่นไป แต่ตัวเองก็คิดอีกว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เพราะหากเรื่องไม่จบ ตำรวจก็จะมีงานทำเพิ่มขึ้น หรือก็อาจจะมีคนเล่นมือถือแตงโมก็เป็นไปได้ ซึ่งก็ต้องให้กระบวนทางกฎหมายไปดูว่ามาจากไหน เพราะลำพังตัวเองก็คงจะหาไม่ได้ลึกเท่ากับตำรวจที่มีอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบ
หลังจากนี้ก็จะแจ้งความเอาผิดคนที่โพสต์ด้วย เพราะแค่โพสต์แรกก็พุ่งเป้ามาที่ตัวเองแล้ว ที่มาหาว่าเราไปทำร้ายเพื่อน ทั้งที่ตัวเองทำร้ายตรงไหน รูปทำร้ายกันก็ไม่มี "มันไร้สาระแล้ว เลิกติดกันไปเถอะ เพราะการที่มีคนไปสนใจ คนโพสต์ก็ยิ่งสนุก มันจิตไม่ปกติแล้ว คนที่ทำ หากมองว่าไร้สาระ เราก็ผ่านไปเท่านั้นเอง"
ส่วนเรื่องที่คุณแม่ภนิดาออกมาพูดถึงตนในทางที่อาจจะไม่ค่อยโอเคแล้ว ส่วนนี้ก็ต้องไปดูว่าแม่ไปรับข้อมูลอะไรมาบ้าง เพราะคนที่เสียใจเสียลูกไป ตัวเองก็เข้าใจว่าความเสียใจจะยังอยู่ บวกกับอายุเยอะแล้ว ใครพูดอะไรมาก็จะเชื่อ ขาดการคิดไตร่ตรอง และคนรอบข้างก็มีสิ่งสำคัญ ไม่รู้ว่าใครที่พอจะให้คำปรึกษาเขาได้หรือไม่ ก่อนที่จะออกมาพูดกับสื่อว่าแบบนี้ไม่ดี มันผิดกฎหมาย อย่าไปกล่าวหาเขาอะไรแบบนี้
โดยเฉพาะเรื่องที่คุณแม่ออกมาบอกว่าตัวเองทะเลาะกับแตงโม แล้วก็ล่อลวงไปก่อเหตุขึ้น ตัวเองก็ต้องถามว่าล่อลวงไปทำอะไร หากมีการทะเลาะกับเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องปกติ หยุมหยิม พอทะเลาะเช้า แต่ตอนเย็นก็ดีกันแล้ว ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
แล้วเรื่องที่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะตนอยู่บ้านของตัวเองที่ซื้อมาได้ 3-4 ปีแล้ว ไม่มีการไปขนของอะไรทั้งนั้น เลยไม่รู้ว่าไปเอาเรื่องนี้จากไหนมา ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่อยู่ดี ๆ คุณแม่ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องฆาตกรรมนั้น ตรงนี้ก็ต้องไปดูว่าคุณแม่ไปคุยอะไรกับใครมา โดนข้อมูลแบบล้างสมองอีกรอบหนึ่ง บวกกับวิจารณญาณด้วย บวกกับสภาวะสภาพจิตใจก็เลยทำให้มีความเชื่อข้อมูลที่รับเข้ามาได้ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้ถึงกับโกรธคุณแม่ แต่หงุดหงิดใจมากกว่า ไม่งั้นก็ไปดูที่ตำรวจ
เพราะข้อหาที่โดนทุกวันนี้ก็คือประมาท ไม่ได้มีอะไรชี้ไปทางฆาตกรรมเลย จึงไม่ทราบว่าอะไรที่ทำให้คุณแม่คิดไปทางนั้นได้ เพราะที่ผ่านมาก็ยอมรับว่าคุยกันในโทรศัพท์ก็ปกติ แต่ก็มีที่ตามไม่ทันบ้าง ซึ่งได้คุยกันล่าสุดก็เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา แล้วก็มาเห็นอีกทีก็เป็นในสื่อแล้วว่ามีการพูดถึงตัวเองที่รุนแรงขนาดนั้น คิดว่าน่าจะต้องมีคนกลางมาประสาน เพระหากตัวเองเข้าไปพบก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในงานศพของแตงโม ตัวเองก็ยืนยันว่าจะไปแน่นอน แต่ยังไม่ได้มีการคุยกับแอนนาและฮิปโป
ส่วนที่หลายคนสังเกตว่าตอนนี้ตัวเองดูเข้มแข็งขึ้น กล้าที่จะตอบคำถามมากขึ้น เพราะตัวเองไม่ได้ผิด ที่ผ่านมาตัวเองเลือกที่จะเงียบแล้วแต่มันไม่เวิร์ก ก็ต้องออกมาพูดบ้าง ให้สังคมเข้าใจบ้าง แต่ถ้าใครไม่เข้าใจก็ต้องแล้วแต่เขา บังคับคนอื่นไม่ได้ ปัจจุบันส่วนตัวโดนไป 3 ข้อหา เรื่องประมาท ทำลายหลักฐาน และให้การเท็จ ส่วนตัวก็ไม่ได้กังวลข้อหาอะไรเป็นพิเศษ เพราะตัวเองยืดหลักอะไรจริงก็ว่าจริง อะไรไม่ก็ว่าไม่
ซึ่งการที่คุณอัจฉริยะจะออกมาเปิดหลักฐานต่าง ๆ ตัวเองก็เห็นเขาเปิดมาตลอด ตัวเองก็ไม่กังวล เพราะเรื่องจริงมันอยู่ที่เราอยู่แล้ว มีเพียงแค่จะหงุดหงิดใจเท่านั้น เห็นแล้วก็ร้อง "โอ๊ย" มันส่งกระทบมาถึงเรา คนด่าอย่างไรก็ด่า จนไม่ค่อยเข้าไปอ่านแล้ว แต่ประเด็นคือคดีมันยืดเยื้อ ม่จบสักที เขาเป็นคนนอก ไม่ควรจะเข้ามายุ่งด้วยซ้ำ หน้าที่มีไหม ก็ไม่ใช่ อำนาจมีไหม ก็ไม่ใช่ มีแค่เพจเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าเป็นความหวังดี
แต่เรามองว่ามันเกินกว่าคำนั้นไปมากแล้ว ถ้าเขาอยู่ในสมมติฐานความจริงเราก็โอเค แต่นี่มันออกทะเล เอาข้อมูลไม่จริงออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งตรงไหนกระทบ ตัวเองก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่เป็นการเอาคืน แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ไม่ได้ไปทะเลาะกับใคร ตอนนี้ได้ไปแจ้งความเอาผิด 3 คนดัง แล้วก็จ่ออีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของเพจ และประชาชนที่ยังไม่หยุดโจมตี
จากการสังเกตพฤติกรรมของแม่แตงโมที่เปลี่ยนไป จากที่ตอนแรกบอกว่าไม่ค่าบังแจ็ค และนายอัจฉริยะ แต่ช่วงหลังบังแจ็คบอกว่าโทรคุยกันจนมีความสนิทสนมมาก ๆ นั้น รวมถึงทนายเดชาที่สนิทกันมาก แต่ช่วงหลังห่างกันและพูดคุยกันน้อยลง
ส่วนกรณีมีคลิปเสียงปรากฏการพูดคุยทำนองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่ากลัว สงสารปล่อยให้อยู่คนเดียวใครมาเจอจะเกิดอะไร และทำไมต้องไปนัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันนั้น นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของแม่นางสาวแตงโม เปิดเผยว่า ตนเองยังไม่ได้ฟังคลิปเสียงดังกล่าว เพราะไม่รู้ว่าเป็นคลิปเสียงเกี่ยวกับอะไร แต่ถ้าหากมีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นเจอกันที่ปั๊มน้ำมัน ส่วนตัวก็เชื่อว่าอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือมีการพูดคุยหลังจากที่เกิดเหตุ ตั้งนั้นสิ่งที่มีการพูดหลังเกิดเหตุจึงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่เกิดเหตุหรือนางสาวแตงโมตกเรือ
กรณีที่กระแสสังคมตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการเป็นทนายความให้กับคนบนเรือว่า ส่วนตัวไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องอะไรกับคนบนเรือ ซึ่งถ้าหากรู้ว่าใครเป็นคนใส่ความหรือทำให้ตัวเองเสียหาย ก็ยังเตรียมที่จะดำเนินการแจ้งความเอาผิด เพราะที่ผ่านมาหากมีใครใส่ร้ายหรือกล่าวหาตนเองก็รวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดหมดแล้ว ดังนั้นในช่วงนี้ก็อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วตัวเองมีหน้าที่เป็นเพียงแค่ทนายความให้กับแม่นางสาวแตงโม
กรณีที่มีการพูดถึงทำนองว่าโทรศัพท์มีการส่งมอบให้กับตนเองแล้วนั้น ส่วนตัวรู้ว่าโทรศัพท์ตอนนี้อยู่ที่ใคร แต่ไม่ขอเปิดเผย ซึ่งก็รู้ว่าคนที่โพสต์เป็นใครเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลคนถ้วนแล้ว ฉะนั้นถ้าหากมีใครมากล่าวอ้างหรือพูดถึงตนเองให้เสียหายก็กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิด แต่ก็ยืนยันกับสังคมว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตนเอง และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องมานั่งโพสต์หรือสร้างกระแสข่าวจะทำให้สังคมเกิดความสับสน
ส่วนกรณีที่ บังแจ็คอ้างว่าตลอด 2 เดือนที่ผ่านมามีการพูดคุยกับแม่นางสาวแตงโมมาโดยตลอด ส่วนตัวยืนยันว่ารับรู้ว่าแม่กับบังแจ็คได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ในการพูดคุยนั้นแม่ก็เล่าให้ตัวเองฟังทุกอย่างว่ามีโอกาสคุยอะไรกับบังแจ็คบ้าง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องของลูกความ
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่บังแจ็คบอกว่าระยะหลังแม่เริ่มไม่ปลื้มในตัวของทนายเดชานั้น ทนายเดชาบอกว่า ตนเองไม่รู้ว่าปลื้มหรือไม่ หรือจะมีการปลด เพราะเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการรับสารมาจากแม่ ล่าสุดที่คุยกันทุกอย่างก็เป็นปกติ เพราะตนเองก็มีอะไรคุยกับแม่ทุกเรื่อง แล้วยังไม่ได้มีท่าทีหรือแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนทนาย เพราะตนเองดูแลแม่และไม่เคยขัดใจ ฉะนั้นจึงเชื่อว่าการพูดคุยกันแทบจะทุกวัน ในฐานะทนายความ และในฐานะที่อายุใกล้กันเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกัน ส่วนตัวก็ยังไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องประเด็นไม่ปลื้ม