วันที่ 18 ต.ค. 65 ที่ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ถ.อรุณอมรินทร์ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ ผู้ชมอมรินทร์ทีวี เดินทางมาบริจาคสิ่งของต่อเนื่อเนื่อง ทั้ง น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง ของใช้จำเป็น ยาสามัญประจำบ้าน เพื่อส่งต่อให้พี่น้องประชาชนคนอุบลราชธานี ที่กำลังเผชิญกับอุทกภัยน้ำท่วมหนัก
โดยครั้งนี้อมรินทร์ทีวี ได้เปิดรับบริจาคเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาช่วยเหลือผู้ประสบภัย "ธารน้ำใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ผ่านเลขบัญชีกสิกรไทย เลขที่ 050-2-997734 ชื่อบัญชี อมรินทร์รวมใจช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ยอดเงินอัปเดตวันที่ 18 ต.ค. 65 เวลา 17.28 น. คือ 20,666,181.67 บาท รวม 6 วัน ตั้งแต่วันที่เริ่มรับบริจาค วันที่ 13-18 ต.ค. 65
ในวันเดียวกัน ทีมข่าวรับแจ้งจากกู้ภัยจีตัมเกาะ จ.อุบลราชธานี ว่าเมื่อวานนี้ช่วงเวลาประมาณ 19:00 น. ได้รับการประสานงานจากผู้ประสบเหตุ ขับรถฝ่ากระแสน้ำบนเส้นทาง231 จากฝั่ง อ.วารินชำราบ ข้ามไป อ.เมือง จนเป็นเหตุให้เครื่องยนต์ดับและฝากกระแสน้ำที่มีความลึกไปต่อไม่ไหว โดยรถคันดังกล่าวมีผู้ประสบเหตุเป็นชาย 2 คน และเด็ก 1 คน ติดอยู่ในรถ
โดยมีคลิปการไลฟ์สดและภาพ การเข้าไปช่วยเหลือของทีมอาสากู้ภัยจีตัมเกาะและอาสากู้ภัยปอเต็กตึ๊ง โดยเข้าไปช่วยเหลือรถที่จอดอยู่กลางกระแสน้ำไหลเชี่ยว โดยได้มีการใช้รถยกสูงเข้าไปทำการลากจูงขึ้นไปยังฝั่งที่น้ำไม่ท่วม ก่อนที่จะมีการช่วยเหลือและส่งให้ผู้ประสบภัยเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย
นายเจษฎา วรสาร อายุ 29 ปี ทีมอาสากู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย เผยว่าหลังจากได้รับแจ้งก็ได้มีการประสานรถและอุปกรณ์เข้าไปทำการช่วยเหลือ พบว่ารถกระบะคันดังกล่าวจอดอยู่จุดที่น้ำลึกไม่มาก โดยพบว่ารถมีลักษณะเครื่องยนต์ดับ แต่คนในรถได้ลงมาจากรถเพราะกลัวกระแสน้ำจะซัด จนกระทั่งรถลอยไปตามน้ำยืนรอรับการช่วยเหลือบริเวณจุดที่ปลอดภัย เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่ารถคันดังกล่าวมีเด็กชาย 5 ขวบ 1 คน กำลังอยู่ในอาการร้องไห้ตกใจ ส่วนผู้เป็นพ่อและเพื่อนของพ่อที่เป็นคนขับรถคันดังกล่าวลุยน้ำได้รอรับการช่วยเหลือ
เมื่อทีมเจ้าหน้าที่ไปถึงก็ได้ทำการใช้อุปกรณ์ในการลากจูง และพารถกระบะคันดังกล่าวข้ามไปยังฝั่งวารินชำราบ ก่อนที่จะช่วยกันตรวจสอบเครื่องยนต์พร้อมทั้งกรองรถ เพื่อที่จะทำให้รถคันดังกล่าวสตาร์ทติดและเดินทางต่อไปได้ แต่ก็โชคดีที่รถคันดังกล่าวไม่ได้ขับลุยน้ำไปในจุดที่น้ำลึกและมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทั้งนี้ในฐานะกู้ภัยอยากจะฝากย้ำประชาชนที่ใช้เส้นทาง อยากจะให้ตรวจสอบเกี่ยวกับการปิดกั้นถนนหรือจุดที่มีน้ำท่วมไม่เช่นนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นซ้ำ
ทีมข่าวยังได้รับคลิปจากเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยจีตัมเกาะ จ.อุบลราชธานี ซึ่งทราบว่าเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 16 ต.ค. 65 ได้รับแจ้งว่ามีชายอายุประมาณ 50-60 ปี พลัดตกลงไปในน้ำ เจอกับน้ำไหลเชี่ยวลอยไปเกาะอยู่ที่เสาไฟริมแม่น้ำมูล หลังจากได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำการช่วยเหลือ จนกระทั่งช่วยเหลือชายคนดังกล่าวขึ้นมาอย่างปลอดภัย โดยสาเหตุนั้นคาดการณ์ว่าเดินลงไปในน้ำคิดว่าเดินลุยและใช้สัญจรได้ แต่ปรากฏว่าระดับน้ำลึกและไหลเชียวจึงทำให้ลอยไปตามน้ำ จนกระทั่งก่อนออกสู่แม่น้ำมูลไปเกาะอยู่ที่เสาไฟเพื่อเอาตัวลอด ก่อนได้รับการช่วยเหลือในเวลาต่อมา
น.ส.กรนิกา คณานิตย์ อายุ 45 ปี เจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยจีตัมเกาะ จ.อุบลราชธานี เผยว่า ในวันดังกล่าวได้รับแจ้งว่ามีชายตกน้ำและเกาะอยู่ที่เสาไฟฟ้าเพื่อรอรับการช่วยเหลือ จึงได้มีการประสานชุดเจ้าหน้าที่เข้าไปทำการช่วยเหลือและนำตัวขึ้นมาบนฝั่ง โดยชายคนดังกล่าวอยู่ในอาการตกใจให้การวกไปวนมา ซึ่งสอบถามเกี่ยวกับชื่อก็ยังไม่ทราบ ประกอบกับสังเกตจากลักษณะและบุคลิกคาดว่าเป็นชายกลางคนอายุประมาณ 50-60 ปี และยังบอกไม่ได้ว่าเป็นคนในพื้นที่ใด แต่หลังจากได้รับแจ้งก็เข้าไปทำการช่วยเหลือ ตอนแรกได้ใช้รถยกสูงเข้าไปที่บริเวณจุดดังกล่าว แต่ด้วยระดับน้ำสูงและไหลเชี่ยวจึงเปลี่ยนเป็นเรือเข้าไปรับตัวออกมาแทน
หลังจากที่พาขึ้นมาที่ปลอดภัยแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะระบุสาเหตุได้ว่าทำไมถึงต้องตกลงไปในน้ำและไปติดอยู่ที่เสาไฟต้นดังกล่าว หลังจากที่ช่วยเหลือเสร็จแล้วก็ได้มีการนำเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เปลี่ยนเพราะชุดดังกล่าวเปียกน้ำ จากนั้นก็ได้มีการมอบถุงยังชีพและอาหารชุดหนึ่งให้ ก่อนที่เจ้าตัวอาการปกติแล้วก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งในที่เกิดเหตุนั้นคาดการณ์ว่าอาจจะเคยเดินริมน้ำหรือใช้เส้นทางดังกล่าวในการสัญจร เพราะเป็นลักษณะถนนติดกับแม่น้ำมูล แต่ด้วยระดับน้ำที่สูงประกอบกับน้ำไหลเชี่ยวไม่ชินทางและถูกน้ำซัดไปเกาะอยู่ที่เสาไฟ โชคดีที่ยังเกาะยึดกับเสาไฟเอาไว้ได้ไม่เช่นนั้นก็จะหลุดลอยออกไปสู่แม่น้ำมูล ซึ่งทางลึกและไหลเชี่ยวอาจจะได้รับอันตราย
ขณะที่ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ทีมข่าวลงพื้นที่พร้อม นายสันติ ศรัทธาพันธ์ ผู้ช่วยสาธารณสุขอำเภอพิบูลมังสาหาร และ นางอุบลวรรณ สินทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสร้างแก้ว ไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสร้างแก้ว ต.โพธิ์ไทร อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
โดยการเดินทางต้องนั่งรถไถเข้าไปเพราะทางเข้าโดยรอบน้ำยังท่วมสูงเกือบ 1 เมตร ระยะทางจากปากทางเข้าประมาณ 800 เมตร เมื่อเข้าไปถึงพบว่าด้านในอาคารน้ำแห้งแล้ว เจ้าหน้าที่เข้ามาทำความสะอาดเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า แต่ด้านหน้าสนามหญ้าน้ำยังท่วมขังเกือบ 50 เซนติเมตร จากการสำรวจในอาคารพบรอยน้ำสูงประมาณ 1.5 เมตร ข้าวของอุปกรณ์ทางการแพทย์ไม่เสียหายเพราะยกขึ้นไปไว้ชั้น 2 ทั้งหมด แต่มีคราบน้ำเกาะตามผนังและสายไฟชำรุด ส่วนพื้นที่ชั้น 2 เต็มไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์การแพทย์ และยาที่ถูกย้ายขึ้นมาจากชั้น 1
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำในแม่น้ำมูล ที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ในวันที่ 18 ต.ค. 65 ระดับน้ำเริ่มลดลงเล็กน้อย โดยวัดค่าได้ 11.37 เมตร ซึ่งพบว่าลดลงจากเมื่อวานประมาณ 10 เซนติเมตร ทีมข่าวได้มีการล่องเรือเข้าไปสำรวจชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 7 บ.ทัพไทย ต.แจละแม ซึ่งพบว่ามี 220 หลังคาเรือน ได้รับความเสียหาย 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ วัดระดับน้ำอยู่ที่ 3 เมตร โดยชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้าน วิถีชีวิตชาวบ้านช่วงเย็นวันนี้สังเกตุเห็นว่า จะมีการใช้เรือในการสัญจร และบางส่วนมีการใช้น้ำที่ท่วมรอบบ้านเป็นน้ำสำหรับอาบชำระตัว
และในพื้นที่ยังพบว่ามีโรงเรียนบ้านทัพไทยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งตัวอาคารไม้ชั้นล่างมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านยังมีโรงพยาบาลส่งเสริมตำบล หรือสถานีอนามัยบ้านทัพ อีก 1 แห่ง ได้รับความเสียหายโดยมีโต๊ะเก้าอี้ จมน้ำ และอุปกรณ์การแพทย์บางส่วน รวมถึงอุปกรณ์เกี่ยวกับการให้บริการผู้ป่วยพิการก็ยังลอยอยู่ในน้ำ ส่วนห้องบริการฉุกเฉินและห้องรับผู้ป่วยชั้นล่างมีน้ำท่วมมิด
ภายในหมู่บ้านยังมีครอบครัวของ นายยุทธนัย วัย 45 ปี อาศัยอยู่กับภรรยาและลูกสาว ซึ่งการเข้าออกบ้านน้ำท่วมนั้นก็ต้องมีการปีนหลังคา ถอดบานเกร็ดหน้าต่างออก ใช้หน้าต่างเป็นประตูทางเข้าออกแทน และการอยู่อาศัยถูกตัดน้ำตัดไฟ ต้องใช้ไฟฉายเป็นแสงสว่างยามค่ำคืน
ขณะที่เรื่องของอาหารการกินนั้น จากเดิมที่มีการตุนเสบียงและของแจกจ่ายเอาไว้ก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าถูกหนูกัดแทะถุงข้าวสารแตก จึงทำให้ข้าวสารเหลือเพียงก้นถุง และแม้แต่อาหารกึ่งสำเร็จรูปที่เก็บเอาไว้ทั้งหมดก็ยังถูกหนูและมดเจาะกินจนเสียหาย
นายยุทธนัย เผยอีกว่า ทุกวันนี้เรื่องของอาหารการกินนั้น เวลาที่ได้รับข้าวกล่องแจกจ่ายเป็นอาหารปรุงสุก หากได้รับจำนวนจำกัดตามคนในครอบครัวตนเองก็ต้องเสียสละให้ลูกและเมียได้กินก่อน ตนเองก็อดบ้างกินบ้างตามสถานการณ์ บางครั้งก็ฉีดอาหารกึ่งสำเร็จรูปบีบกินแบบดิบ ๆ ไม่ต้ม ตามสภาพที่ทำได้
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังสังเกตว่ามีบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านของ นายสมโรจน์ ซึ่งมีน้ำท่วมถึงชั้น 2 จนอยู่อาศัยไม่ได้ เจ้าตัวได้พาลูกและเมียออกไปอยู่ที่อื่น แต่ส่วนตัวนั้นได้ยกเอาเข้าของเครื่องใช้ที่จำเป็นขึ้นเรือเพื่อยังชีพ อาทิ เต่าแก๊สปิกนิก ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้าบางส่วนและน้ำดื่ม
ซึ่งกลางคืนก็จะพายเรือเข้ามาเทียบใต้หลังคาบ้าน เปิดไฟจากไฟฉายเป็นแสงสว่าง จุดยากันยุงนอนเฝ้าบ้าน ส่วนช่วงกลางวันก็จะพายเรือที่ใช้หลับนอน ออกไปรับอาหารแจกข้างนอกหมู่บ้าน ซึ่งก็กลายเป็นวิถีชีวิตการกินนอนบนเรือแทน
นายสมโรจน์ เผยอีกว่า เมื่อวานนี้ตนเองได้ดำน้ำเข้าไปดูทรัพย์สินภายในบ้านเรียกได้ว่าน้ำตาตกใน พูดแล้วน้ำตาไหลทรัพย์สินที่ไม่ได้ขนย้ายหนีน้ำไม่ทัน เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือแม้แต่ทีวี ตู้เย็น ก็จมอยู่ในน้ำเสียหายหลุดลอยให้เห็นต่างหน้า และตนเองอยากจะพูดแบบไม่อายว่าหลังน้ำลดจะรู้ว่าอะไรสำคัญสำหรับผู้ที่เดือดร้อนนั่นคืนเงิน