เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงชั่วข้ามคืน สำหรับเรื่องราวของเดอะทอยส์ นักร้องชื่อดัง ที่มีการเผยแพร่คลิปสั้น ๆ ขณะที่เจ้าตัวกำลังร้องเพลงบนเวที แต่อยู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งโดดขึ้นมา พร้อมล็อกคอเดอะทอยส์ เพื่อบังคับจะให้ดื่มแอลกอฮอล์ แต่นักร้องหนุ่มไม่สนใจ พร้อมปากีตาร์ที่สะพายอยู่ทิ้ง และเดินลงเวที ยุติคอนเสิร์ตทันที ซึ่งเรื่องนี้ทีมข่าว บันเทิง อมรินทร์ ทีวี ก็ได้เล่าความคืบหน้าเป็นระยะ
วันนี้ (24 พฤษภาคม 2562) ธันวา บุญสูงเนิน (เดอะทอยส์) ศิลปิน ออกงานอีเวนต์ สื่อก็เลยรุมจ่อไมค์ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น นักร้องหนุ่มก็เผยว่า จำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้ทั้งหมด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากการได้รับวัฒนธรรมการชมดนตรีที่มันแตกต่างกัน โดยตอนที่ชายคนดังกล่าวขึ้นมาล็อกคอ ตนหายใจไม่ออก และตกใจมาก กลัวว่าเขาจะมีมืดหรือปืน เพราะในงานค่อนข้างมืด ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขเหตุการณ์นี้อย่างไร จึงลงจากเวที เพราะห่วงความปลอดภัยของตัวเอง
สำหรับตนมองว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะทุกคนต้องรู้อยู่แล้วว่า ไม่ควรไปแทรกแซงการทำงานของใคร แต่ทางร้านเองก็คืนเงินให้ลูกค้าทั้งหมด ตนก็ขอไม่รับค่าตัวเช่นกัน แต่หากต้องกลับไปร่วมงานที่นั่นอีกตนก็ยินดี ส่วนคอมเมนต์ที่ต่อว่าตนไม่เป็นมืออาชีพ ตนไม่ค่อยแคร์ และเผยขำ ๆ ว่า “เราอาจจะเป็นมืออาชีพหมื่นวัน แต่อาจจะใช้หมด ก็เลยไปกินข้าวต้มดีกว่า“
เล่าเหตุการณ์ให้ฟังหน่อย “ผมจำไม่ได้ทั้งหมดนะครับ ผมนั่งรถจากจังหวัดพิจิตร 8-9 ชั่วโมง ไปเล่นคอนเสิร์ตที่พม่า“
แล้วบนเวที “ก็เท่าที่เห็นเลยต้องพูดว่าอะไร เราอาจจะได้รับวัฒนธรรมการชมดนตรีที่มันแตกต่างกันออกไป“
ตกใจไหมตอนนั้น “จำไม่ได้ทั้งหมดแต่ฟีลคือ กำลังจะร้องเพลงท่อนต่อไป รู้ตัวอีกทีคือหายใจไม่ออก เขาไม่ได้พูดอะไรเลย ด้วยความที่บรรยากาศในงานมันมืด ๆ อยู่แล้ว เลยมองอะไรไม่ค่อยเห็น แล้วตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น“
มันมีจังหวะที่เราทิ้งกีตาร์ลงจากเวทีคือไม่พอใจ “ ฟีลอะครับ“
คือกลัวความปลอดภัยใช่ไหม “ใช่ ๆ“
เห็นบอกว่าเป็นกีตาร์ที่หวงมาก “แวบนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย คือผมไม่รู้จะเอายังไง สมมติเขามีมีด เราต้องทำไงดี ถ้าเขามีปืน เราจะยังอยู่ตรงนี้ไหม“
เขาประชิดตัวเรามากเกินไป “ไม่ใช่แค่ผม เรื่องนี้มันเป็นกับทุกคน ทุกคนที่ไม่ต้องเป็นศิลปินก็ได้ สมมติผมเป็นเซลล์ขายรถ กำลังคุยกับลูกค้าแล้วมีคนมาล็อกคอ มันคือวัฒนธรรมที่เราควรเรียนรู้ ไม่ใช่เขาผิดนะ เพียงแต่เราได้รับวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป“
เจ้าของร้านได้มาคุยไหม “คุยกับผู้จัดการครับ ผมว่าเขามีสปิริต เพราะเขารับผิดชอบเงินของลูกค้าทั้งหมด คืนทั้งหมด อันนี้คือเรื่องที่ดี เพราะเขาจะไม่ทำก็ได้“
เรากลับเลยไหมวันนั้น “ผมไปกินข้าวต้มกับมือกลองต่อ“
จากนี้จะต้องระวังอย่างไรอีกบ้าง “จริง ๆ เราควรรู้กันอยู่แล้ว ทุกเรื่องบนโลก เราไม่ควรไปแทรกแซงการทำงานของใครก็แล้วแต่ มันเป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของผู้ใหญ่“
มันทำให้เราระแวงไหม “มันเป็นหน้าที่ของทีมงาน“
ทางเราก็คืนค่าตัว “ครับ ตอนไปกินข้าวต้ม ก็เพิ่งนึกได้ว่าเล่นไม่ครบ ก็รีบโทรหาผู้จัดการ ผมขอคืน และบอกทางค่ายว่าค่ารถจะขอออกเอง เพราะทางร้านก็รับผิดชอบกับลูกค้า“
เรื่องนี้มีกระแสบอกเราไม่เป็นมืออาชีพ “ผมไม่ค่อยได้อ่านคอมเมนต์ และไม่ค่อยแคร์ เราอาจจะเป็นมืออาชีพหมื่นวัน แต่อาจจะใช้หมดก็เลยไปกินข้าวต้มดีกว่า“
โกรธไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ไม่ครับ ทุกคนต้องเรียนรู้ มันเป็นเรื่องดีนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เหมือนกัน อย่างน้อยมันแสดงว่าให้เห็นว่าเป็นประสบการณ์ของทุกฝ่าย“
ต้องเลือกรับงานไหม “เป็นค่ายเท่านั้นที่รับงาน ไม่เกี่ยวกับผม“
เล่นที่นั่นได้อีกไหม “ไม่มีปัญหาเลยครับ“
ต้องมีมาตรการเซฟตัวเองไหม “อยู่ที่ทีมงานครับ ผมไม่รู้ เราไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติม“
อยากบอกอะไรกับแฟนคลับบ้าง “ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ ไม่ต้องโจมตีใครเลย เรื่องปกติครับ ทุกคนต้องเรียนรู้ จะได้แก้ปัญหา“