จากกรณีที่ ด.ช.ต่อศักดิ์ แสงสว่าง หรือ น้องต่อ หนูน้อยวัย 8 เดือน ลูกชายของ นายสิทธิโชค แสงสว่าง หรือ พุด วัย 19 ปี และ น.ส.นิ่ม ภรรยาสาว วัย 17 ปี หายตัวไปจากบ้านในพื้นที่หมู่ 6 ต.หินมูล อ.บางเลน จ.นครปฐม ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. 66 อย่างเป็นปริศนา กว่า 8 วันแล้วที่เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนระดมค้นหาแต่ยังไม่พบตัวน้องต่อ
ล่าสุดวันที่ 13 ก.พ. 66 เวลา 15.24 น. ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.บางหลวง เชิญตัว นายพุด และ น.ส.นิ่ม พ่อแม่ของน้องต่อ มาที่ สภ.บางหลวง เพื่อสอบปากคำถึงบางประเด็นในคดี โดยนายพุดและแม่เด็กมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แยกสอบ นายพุด และ น.ส.นิ่ม โดยสอบปากคำคนละห้อง ซึ่ง พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เดินทางลงพื้นที่ สภ.บางหลวง เพื่อมาสอบปากคำด้วยตนเอง จากการสังเกตการณ์ของทีมข่าวพบว่าตำรวจสอบปากคำนานกว่า 4 ชั่วโมง และคาดว่าจะสอบปากคำจนถึงช่วงดึกของวันนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สอบเครียด นิ่ม-พุด พร้อมเก็บดีเอ็นเอตรวจ สื่อฯบุกพิสูจน์จุดลับตาอุ้มน้องต่อ? (คลิป)
ย่าฉะ! ขอสะใภ้พูดความจริง หลังน้องต่อหายตัวปริศนาเข้าวันที่ 5 (คลิป)
4วันยังไร้วี่แวว "น้องต่อ" หายปริศนา ชายคนสนิทพลิกลิ้นมีสัมพันธ์แม่เด็ก (คลิป)
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพุ่งปมประเด็นเด็กหายเป็นปริศนา 2 ประเด็นคือ 1.เด็กตายแล้วถูกอำพรางศพ 2.มีการนัดแนะคนมารับเด็กไปเป็นไปได้ว่าอาจเป็นคนรู้จักและไม่รู้จัก และในวันพุธ ที่ 15 ก.พ. 66 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวพ่อและแม่เด็กเข้าเครื่องจับเท็จที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 เพื่อหาเบาะแสต่อไป
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ น.ส.นิ่ม เผยว่า ส่วนตัวเชื่อว่าน้องต่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ในใจลึก ๆ ก็ทำใจไว้หากน้องต่อไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว เนื่องจากลูกตนหายไปเป็นเวลานานถึง 8 วันแล้ว และยังไม่รู้ว่าชะตากรรมตอนนี้เป็นอย่างไร ซึ่งคนที่อุ้มลูกตนไปจะเลี้ยงดีเหมือนตนและสามีหรือไม่
น.ส.นิ่ม เปิดเผยข้อมูลหลังจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้ามาตรวจสอบที่บ้านพัก โดยมีการเก็บผ้าห่มน้องต่อที่มีคราบเหนียวปริศนาบนตัวผ้าและเสื้อผ้าของน้องต่อบางส่วนไปตรวจสอบ และยังพบหลักฐานใหม่เพิ่มเติมเป็นคราบเลือดปริศนา บริเวณท่อพีวีซีหน้าห้องน้ำในตัวบ้านพัก โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานรอยเลือดไปตรวจสอบ
และเจ้าหน้าที่ยังได้เก็บหลักฐานบริเวณพื้นห้องน้ำไปตรวจสอบ โดยพบร่องรอยบางอย่างแต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกตนเรื่องหลักฐานในคดีมากนัก และได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่ามีคนในหมู่บ้านไปแจ้งตำรวจว่าช่วง 03.00 น. ของวันที่ 5 ก.พ. 66 มีคนได้ยินเสียงดัง ”กึก ๆ” ในบ้านพักตน โดยจากข้อมูลนี้อาจทำให้เจ้าหน้าที่สงสัยว่า ครอบครัวตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวของน้องต่อ
น.ส.นิ่ม ยืนยันว่า ในส่วนห้องน้ำในบ้านพักมีครอบครัวของตนและครอบครัวของลุงรุ่ง บ้านที่อยู่ติดด้านหลังบ้านของตนใช้ห้องน้ำร่วมกัน เลยไม่รู้ว่ารอยเลือดมาจากไหน และทุกวันที่ตนและคนในครอบครัวเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้สังเกตจุดท่อพีวีซีว่ามีคราบเลือดหรือไม่ ส่วนที่คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงดังช่วง 03.00 น. ออกมาจากบ้านพักตน น.ส.นิ่ม กล่าว่าตนคาดว่าเป็นเสียงกาต้มน้ำ ซึ่งตนจะลุกมาต้มน้ำเพื่อชงนมให้ลูกเป็นประจำทุกวันในช่วงเวลาดังกล่าว
ด้าน นายสิทธิโชค แสงสว่าง หรือ พุด พ่อของน้องเปิดใจในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องในคดีอีกครั้งว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้มาตรวจค้นบ้านตนประมาณสองครั้ง เก็บหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีไปตรวจสอบ ครั้งแรกวันที่ 10 ก.พ. 66 คือ หมอนที่เปื้อนคราบเลือดและเสื้อผ้าน้องต่อบางส่วน ครั้งสองวันที่ 12 ก.พ. 66 คือผ้าห่มของน้องต่อ
นายพุด กล่าวว่า หมอนที่เปื้อนคราบเลือดที่ น.ส.นิ่ม เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เป็นเลือดน้องต่อที่เกิดจากช่วงปากแตกหน้าหนาวนั้น น.ส.นิ่มเข้าใจผิดเอง ตนยืนยันว่าเป็นเลือดที่ออกมาจากปากน้องต่อเพราะน้องกัดฟันตัวเองจนเลือดไหลออกมา โดยน้องต่อฟันขึ้นสองซี่อาจทำให้ฟันไปกระทบปากแล้วกัดปากจนเลือดออก
ส่วนผ้าห่มของน้องต่อ ที่ทางเจ้าหน้าที่พบคราบเหนียวปริศนา นายพุด กล่าวว่าตนไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรแต่สอบถามภรรยาบอกเพียงว่าเป็นคราบที่เกิดจากลูกอ้วกออกมาหลังจากกินนม ส่วนประเด็นที่มีเพื่อนบ้านได้ยินเสียง ”กึก ๆ” ดังขึ้นมาในบ้านพักตน ในช่วงคืนดึกก่อนที่น้องต่อจะหายตัวไปวันที่ 5 ก.พ. 66 นายพุด ยืนยันว่าเป็นเสียงหมาในหมู่บ้านที่มาคุ้ยขยะในบ้านพัก หรืออาจจะเป็นเสียงพี่สาวตนที่ทำเสียงดังขึ้นมาในบ้านพัก ส่วนคราบเลือดที่ท่อพีวีซีตนไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรและไม่เคยสังเกตเห็นคราบเลือดดังกล่าวก่อนหน้านี้
ทั้งนี้นายพุดได้เผยว่า วันที่ 4 ก.พ. 66 ก่อนที่น้องต่อจะหายตัวไปจากบ้านพักในวันที่ 5 ก.พ. 66 วันที่ 4 ก.พ. 66 ตนไปทำงานปกติวันนั้นเข้างานสายออกจากบ้านพัก 07.40 น. และเลิกงานช่วง 17.30 น. ซึ่ง น.ส.นิ่ม แบกน้องต่อใส่เป้ขี่รถจักรยานยนต์ไปรับตนหลังเลิกงานที่โรงพยาบาล ในวันนั้นตนก็ทราบจาก น.ส.นิ่ม ว่าก่อนมารับตนได้พาลูกไปที่อนามัยเพราะลูกมีไข้สูงจึงพาไปหาหมอ และพอกลับถึงบ้านพักน้องต่อก็หลับไปในช่วงเวลา 20.00 น. ส่วนตนและภรรยาก็หลับไปช่วงเที่ยงคืนวันเกิดเหตุน้องต่อร้องหิวนมช่วงเวลา 06.30 น. ตนได้ยินเสียงลูกร้องครั้งสุดท้ายคือตอนนั้น
หลังเกิดเหตุการณ์ลูกหาย น.ส.นิ่ม ภรรยาตนจะผวาแล้วก็ลุกขึ้นมาร้องให้ประมาณช่วง 02.00-03.00 ของทุกวัน ตนก็จะไปปลอบใจ เพราะภรรยาเครียดมากที่ลูกหายและก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าดูแลลูกไม่ดีทำให้ลูกหาย ทำให้เมื่อคืนอาจจะมีเพื่อนบ้านบางคนเข้าใจว่าทะเลาะกันเพราะตนก็ชอบบอกภรรยาว่า “ถ้าดูข่าวแล้วเครียดก็อย่าไปดู ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะว่าอะไร“
ส่วนตัวมองว่า เกิดจากความผิดพลาดของตัวเองเช่นเดียวกันที่ลูกหาย เพราะปกติทุกเช้าประมาณช่วง 07.00 น. ตนจะอุ้มน้องต่อออกไปเดินเล่นหน้าบ้าน แต่วันเกิดเหตุตนตื่นสายเพราะเป็นวันหยุด จึงไม่ได้อุ้มน้องต่อออกไปเดินเล่นหน้าบ้านทำให้คนร้ายอาจใช้โอกาสนี้เข้ามาขโมยลูกถึงในบ้านพัก ขณะที่ตนและภรรยานอนหลับอยู่
ขณะที่ นายยืนยง แสงสว่าง หรือ ยง อายุ 39 ปี อาของนายพุด ซึ่งนายยงเป็นลูกชายของลุงรุ่ง และอาศัยในบ้านพักด้านหลัง ติดกับห้องน้ำและบ้านของพ่อแม่น้องต่อ เปิดเผยว่าจากกรณีที่แม่ของน้องต่อให้สัมภาษณ์ว่า ตนและพ่อของตนไปอาศัยใช้ห้องน้ำบ้านพ่อแม่น้องต่อนั้นไม่เป็นความจริง เพราะห้องน้ำที่ตำรวจเพิ่งมาทุบส้วมเพื่อที่จะค้นหาเบาะแสการหายตัวไปของน้องต่อเป็นห้องน้ำที่พ่อของตนหรือว่าลุงรุ่งเป็นคนสร้างขึ้นมา เป็นห้องน้ำของครอบครัวตนไม่ใช่ของครอบครัวพ่อแม่น้องต่อ ซึ่งพ่อแม่น้องต่อมาอาศัยใช้ห้องน้ำนี้ด้วย
และก่อนหน้านี้ที่แม่เด็กเคยให้สัมภาษณ์ว่า พ่อของตนและตนซึ่งเป็นญาติจะชอบไปอุ้มน้องต่อออกจากบ้านพักแล้วก็เอามาเล่นด้วยก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะครอบครัวตนไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับพ่อแม่ของน้องต่อเลย แต่ก็เอ็นดูน้องต่อที่เป็นหลานเพราะน้องต่อน่ารัก ส่วนหลักฐานต่าง ๆ ที่ทางเจ้าหน้าที่พบในบริเวณห้องน้ำ ตนไม่ทราบว่ามีคราบเลือดติดที่ท่อพีวีซีได้อย่างไร รวมถึงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยสังเกตเห็นว่ามีคราบเลือด และตนก็ไม่รู้ว่าหลานหายออกจากบ้านพักได้อย่างไรเพราะวันเกิดเหตุตนก็ตื่นสาย ซึ่งก็มีญาติเดินมาบอกว่าน้องต่อหายตัวไป ตอนแรกก็คิดว่าญาติอำเล่นแต่ต่อมาก็มารู้ว่าเป็นเรื่องจริง
ส่วนประเด็นที่นำมุ้งไปทิ้ง น.ส.นิ่ม ยอมรับว่า ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเย็นวันที่ 4 ก.พ. 66 เธอกับสามีได้มีปากเสียงทะเลาะกันเล็กน้อยเท่านั้น เพราะสามีทำมุ้งนอนพังเสียหาย ซึ่งสามีทำพัดลมที่วางอยู่บนชั้นวางของหล่นลงมาทับมุ้งจนผิดรูป ต่อมาตนเองด้วยความโมโหจึงไล่สามีให้ออกไปจากมุ้งนอน บอกว่า “มึงออกมุ้งไปเลย กูจะเก็บมุ้งทิ้งแล้ว” ซึ่งไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรง
จากนั้นด้วยความโมโหสามีจึงได้ออกจากมุ้งไป แต่ระหว่างรูดซิบเปิดมุ้งซิบดันติดสามีก็หงุดหงิดจึงกระชากซิบจนซิบหลุดมุ้งขาดทำให้มุ้งใช้งานไม่ได้อีก หลังจากนั้นตนเองจึงได้เก็บมุ้ง เอาผ้าห่ม และอุ้มเอาน้องต่อที่กำลังคลานเล่นอยู่ในมุ้งย้ายออกจากมุ้งและนำมุ้งไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้านห่างจากบ้านประมาณ 10 เมตร โดยลักษณะคือหย่อนมุ้งทั้งหมดลงถังขยะ จากนั้นก็กลับมานั่งเล่นตามปกติ ซึ่งขณะเดินออกไปทิ้งมุ้งตนเดินออกมาคนเดียว และไม่ได้สังเกตว่ามีชาวบ้านคนไหนเข้าไปในบ้าน เวลาขณะนั้นประมาณ 6 โมงกว่า ตนจำเวลาชัดเจนไม่ได้ สังเกตท้องฟ้าขณะนั้นยังสว่างอยู่ ยืนยันว่าไม่มีการทะเลาะกับสามีรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายอะไรกันเลย ทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง และตนก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายหลักฐานอะไรเลย
น.ส.นิ่ม ยังตัดพ้อกับทีมข่าวว่า หากเย็นวันนั้นมุ้งไม่พังลูกของตนเองก็อาจจะไม่ถูกอุ้มหายไปก็ได้ เพราะมุ้งดังกล่าวที่ตนเองใช้นั้น คนที่จะเข้ามุ้งได้จะต้องเปิดซิบเพื่อเข้าไปเท่านั้น ไม่ใช่มุ้งแบบครอบที่สามารถยกแล้วเข้าไปง่าย ๆ และรู้สึกแปลกใจมาก หลังจากที่ไม่มีมุ้ง คืนวันนั้นลูกชายก็ถูกอุ้มหายไปทันที และที่น่าสงสัยอีกเรื่องคือหลังจากตนเองเอามุ้งไปทิ้งถังขยะแล้วก็ไม่รู้ว่าใครนำมุ้งที่ตนเองทิ้งเอาออกจากถังขยะย้ายไปวางใกล้กับกองไม้กองขยะถัดจากถังขยะเดิมที่ทิ้งไปประมาณ 10 เมตร ในช่วงวันที่ 2-3 หลังลูกชายหายตัวไป กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66 ถึงจะเก็บมุ้งที่ตนเองทิ้งไปตรวจสอบ
ส่วนประเด็นชายเสื้อสีเหลืองที่ทุกคนกำลังสงสัยว่า เป็นคนร้ายที่อุ้มน้องต่อไปจากบ้านคืนวันเกิดเหตุจริงหรือไม่ ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้จำลองเหตุการณ์คืนที่น้องต่อหายวันที่ 5 ก.พ. 66 โดยให้ น.ส.นิ่ม แม่ของน้องต่อได้จำลองลักษณะการนอนของเธอในคืนวันเกิดเหตุว่านอนลักษณะไหน พบว่านายพุดพ่อน้องต่อนอนติดผนังบ้านริมสุด น.ส.นิ่มนอนตรงกลาง ส่วนน้องต่อนอนบนหมอนถัดออกไป ส่วนหลานชื่อมินต์นอนติดผนังอีกด้าน
น.ส.นิ่ม ยังบอกอีกว่า ช่วงที่รู้สึกว่าน้องต่อหายตนเองระหว่างนอนอยู่สัมผัสได้ว่าหมอนที่น้องนอนพองขึ้นผิดปกติเหมือนมีคนอุ้มลูกออกไปจากหมอน จากนั้นตนเองได้ลืมตาขึ้นและเห็นชายเสื้อสีเหลืองยืนอยู่ห่างจากปลายเท้าตนเองไม่กี่เมตร ซึ่งยืนในลักษณะหันหลังอยู่และกำลังวิ่งออกไปจากบ้าน ช่วงเวลาที่เห็น 1-2 วิเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังตื่นสะลึมสะลือ
ทีมข่าวได้ทดสอบเอาผ้าสีเหลืองอ่อนมาคลุมแทนเสื้อและยืมอยู่ห่างตู้ชั้นวางของปลายเท้าของ น.ส.นิ่ม ที่นอนอยู่ ซึ่ง น.ส.นิ่ม ยืนยันว่าชายเสื้อสีเหลืองที่ตนเองเห็นใส่เสื้อสีเฉดเหลืองอ่อนจาง ๆ ไม่ใช่เหลืองเข้ม ลักษณะน่าจะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากแผ่นหลังใหญ่กว้าง
โดยตอนที่เห็นชายเสื้อเหลือง ตนเองคิดว่าญาติ ๆ อุ้มลูกออกไป ตอนนั้นไม่คิดว่าเป็นโจร และได้ยินเสียงวิ่งคล้ายเอาส้นเท้าลงพื้น เพราะตอนนั้นพื้นบ้านตนสั่นเล็กน้อย และหลังจากเห็นชายเสื้อเหลืองอ่อนตนเองก็ยังได้พลิกตัวหันไปถามสามีว่า “ใครอุ้มไป?” แต่สามีนิ่งหลับไม่ตอบ ตนเองจึงลุกขึ้นนั่งและรีบเดินออกไปดูชายเสื้อเหลืองคนนั้น แต่เมื่อเดินออกมาหน้าบ้านก็ไม่พบใครแล้ว พอกลับเข้าบ้านจึงรู้ตัวว่าลูกลูกหายไป
หลังจากมีประเด็นเรื่องชายเสื้อเหลือง ซึ่ง น.ส.นิ่ม แม่ของเด็กได้ให้ข้อมูลว่า เฉดสีเสื้อของคนร้ายที่เธอเห็นเป็นเฉดสีเหลืองอ่อน ด้วยความสงสัยทีมข่าวจึงไปหาเลือกซื้อเสื้อเหลืองอีก 2 เฉดสี นำไปให้ ลุงวี ซึ่งเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านที่เห็นชายเสื้อเหลืองเดินกึ่งวิ่งหันหลังออกจากบ้านของ น.ส.นิ่ม ไปในวันที่น้องต่อหาย เพื่อจะพิสูจน์ว่าชายเสื้อเหลืองของ น.ส.นิ่ม กับ ชายเสื้อเหลืองที่ลุงวีเห็นมีเฉดสีเสื้อเหมือนกันหรือไม่
ปรากฎว่า สีเสื้อที่ลุงวีชี้นั้นกลับเป็นเสื้อสีเหลืองเข้มไม่ใช่เหลืองอ่อนอย่างที่ น.ส.นิ่ม ชี้ ลุงวีก็ยืนยันว่าเสื้อสีเหลืองเข้มใกล้เคียงสุด ส่วนผ้าเหลืองอ่อนยืนยันว่าไม่ใช่แน่นอน ซึ่งการชี้สีเสื้อเหลืองครั้งนี้ น.ส.นิ่ม กับ ลุงวี ชี้สีคนละอย่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ลุงวี ยังบอกต่อว่า ตนเองไม่รู้ว่าชายเสื้อเหลืองที่ตนเองเห็นนั้นจะเป็นคนร้ายหรือไม่ แต่ค่อนข้างแปลกเนื่องจากว่าได้มีลักษณะเดินกึ่งวิ่งและคล้ายกับทำท่าเหมือนอุ้มอะไรบางอย่าง แต่ตัวเองเห็นแค่ด้านหลังจึงไม่แน่ใจและเท่าที่ดูไม่น่าจะใช่คนในหมู่บ้านแน่นอนน่าจะเป็นคนนอกมากกว่า
ด้าน นายคมสัน จิตจำรูญ หรือ แจ็ค อายุ 43 ปี เพื่อนบ้าน บอกว่าบ้านของตนอยู่ด้านหลังบ้านของลุงรุ่ง ซึ่งลุงรุ่งเป็นญาติของพ่อแม่เด็ก ที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นว่านายพุดและแม่เด็กจะมีปากเสียงหรือทะเลาะกัน ถึงหากทะเลาะกันจริงเสียงก็ไม่ได้ดังมาถึงบ้านตน ส่วนเรื่องที่มีคนในหมู่บ้านแจ้งข้อมูลกับตำรวจว่าช่วงเวลา 03.00 น. ของวันที่ 5 ก.พ. 66 มีคนได้ยินเสียงดังกึก ๆ ดังขึ้นมาในบ้านพักพ่อแม่เด็ก ตนก็ได้ยินเสียงเช่นกันแต่ตนไม่ได้เป็นคนให้ข้อมูลกับตำรวจ เพราะเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงแมวที่กระโดดบนหลังคาเลยไม่ได้แปลกใจอะไร
นายคมสัน กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุตนก็ถูกตำรวจสอบปากคำและบุกค้นบ้านพักทุกซอกทุกมุมเพื่อหาเบาะแสของน้องต่อ เพราะตอนแรกตำรวจสันนิษฐานว่าคนในหมู่บ้านอาจเอาน้องต่อไปซ่อน และตำรวจก็ค้นบ้านทุกหลังที่มีเสื้อเหลือง ตนก็ยังเอาเสื้อเหลืองสองตัวที่มีมาให้ตำรวจดู ตำรวจก็ถ่ายรูปทั้งเสื้อเหลืองและรูปตนไว้ ยืนยันชาวบ้านทุกหลังยินดีให้ข้อมูลกับตำรวจเพราะก็อยากรู้ว่าเด็กหายออกจากบ้านพักไปได้อย่างไร
ส่วนตัวมองว่า คดีนี้แปลกมากเพราะคนร้ายบุกเข้ามาในบ้านพักเด็ก แล้วอุ้มเด็กออกจากแม่ที่กำลังนอนอุ้มลูก ตนสงสัยว่าแม่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนร้ายภาคลูกไปจากอก ยังนอนหลับและสะลืมสะลือดูหลังคนร้ายขณะหนีออกจากบ้านพัก นายคมสัน กล่าว
ส่วนที่นายพุดให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่าทุกเช้าประมาณ 07.00 น. นายพุดจะอุ้มน้องต่อไปเดินเล่นหน้าบ้านพักก็ไม่เป็นความจริง เพราะทั้งนายพุดและ น.ส.นิ่ม ตื่นสายทั้งคู่ ขนาดตนจะไปซื้อของที่บ้านพักก็ยังไม่ตื่นมาเปิดร้านขายของ จนตนไม่ไปซื้อแล้วและไปซื้อร้านอื่นแทน นายคมสัน กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ก่อนที่น้องต่อจะหายตัวไปในวันที่ 4 ก.พ. 66 มีข้อมูลว่า เมื่อเวลาประมาณเที่ยงของวันที่ 4 ก.พ. 66 น.ส.นิ่ม ได้พาน้องต่อมารักษาด้วยอาการมีไข้สูง ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่สถานีอนามัย อบต.บางไทรป่า ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของน้องต่อไป 10 กิโลเมตร จากการสอบถามเจ้าหน้าที่อนามัยได้ให้ข้อมูลว่า ทาง ผอ.ของอนามัย ได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว ส่วนวงจรปิดในอนามัยทั้งหมดกล้องเสียไม่ได้บันทึกไว้ แต่ยืนยันว่า น.ส.นิ่ม ได้พาน้องต่อมารักษาที่อนามัยจริงช่วงบ่ายโมงของวันที่ 4 ก.พ. 66 จริง
ต่อมาทีมข่าวได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่ น.ส.นิ่ม ให้ข้อมูลกับทีมข่าว พบว่าช่วงวันเกิดเหตุ 4 ก.พ. 66 ก่อนน้องต่อจะหายตัว เวลาประมาณ 07.00 น. น.ส.นิ่ม ได้อุ้มน้องต่อใส่เป้พาไปส่งนายพุดไปทำงานที่โรงงาน โดยขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งนายพุดที่โรงงานห่างจากบ้านประมาณ 15 กิโลเมตร
ประมาณ 08.00 น. น.ส.นิ่ม แวะไปรับผู้เป็นพ่อคือ นายประสาน ที่บ่อปลา ให้ไปอนามัยเป็นเพื่อนเพราะน้องต่อมีไข้ขึ้นสูง ประมาณ 08.30 น. น.ส.นิ่ม จอดรถ จยย. สีน้ำเงินไว้ที่บ่อปลาพ่อ เปลี่ยนใช้รถ จยย.พ่วงข้าง เพื่อพาน้องต่อไปหาหมอที่สถานีอนามัย อบต.บางไทรป่า ประมาณ 10.00 น. น.ส.นิ่ม กับพ่อและน้องต่อ ได้แวะบ้านญาติที่อยู่ใกล้สถานีอนามัย อบต.บางไทรป่า นั่งคุยและกินข้าวกับญาติสักพัก
จากนั้น 12.20 น. น.ส. นิ่มได้ขี่ จยย.พ่วงข้างพาน้องต่อไปให้หมอดูอาการที่สถานีอนามัย อบต.บางไทรป่า ต่อมา 13.10 น. วงจรปิดตัวเดิมจับภาพรถพ่วงข้างสีน้ำเงินคันเดิมมีชายใส่หมวกขี่พา น.ส.นิ่น กลับ
ด้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบ ซึ่งขณะนี้เวลาล่วงเลยไปแล้วกว่า 8 วัน เบื้องต้นจากคำการของพ่อและแม่ของ "น้องต่อ" ยังพบพิรุธ ขัดแย้งกับสิ่งที่ พฐ.ได้มีการตรวจพบ นั้นคือคราบเลือดที่ตรวจพบไปก่อนหน้านี้ เพราะจำนวนคราบเลือกที่พบนั้นค่อนข้างเยอะ และค่อนข้างขัดแย้งจากคำให้การของพ่อแม่ที่ระบุว่าเป็นคราบเลือดที่มาจากน้องปากแตก
ซึ่งปริมาณคราบเลือดที่พบไม่สอดคล้องตามคำให้การ หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและพฐ.เองก็ต้องมีการตรวจสอบว่าคราบเลือดดังกล่าวนั้นเป็นของใคร ตลอดจนจะต้องมีการไล่ไทม์ไลน์การใช้โทรศัพท์ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการตรวจสอบไล่กล้อฃวงจรปิดภายในพื้นที่บางเลน เพราะขอบเขตและพื้นที่เองไม่ได้กว้างจนเกินไป
ขณะที่วันนี้เองตนก็ได้มีการประชุมร่วมกับทางชุดสืบสวนของตำรวจในพื้นที่ และตำรวจภูธรภาค 7 เพื่อมีการเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดว่าเด็กมีการสูญหายไปได้อย่าง ส่วนตัวไม่คอนเฟิร์มว่าเด็กยังมีชีวิตหรือไม่ ตนไม่สามารถตอบได้แต่ก็เป็นห่วง เบื้องต้นตอนนี้พยายามดำเนินการให้เร็วที่สุดหาสาเหตุของการสูญหาย ซึ่งการตรวจคราบเลือดที่เจอนั้นก็พยายามเร่งรัดคาดใข้เวลา 2-3 วัน ส่วนกรณีเรื่องเครื่องจับเท็จนั้นตอนนี้ก็มีการเตรียมการในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามคาดว่าพรุ่งนี้ตนเองจะเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง
ขณะที่เฟซบุ๊ก มูลนิธิกระจกเงา ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "อัพเดทภาพน้องต่อที่ชัดเจนขึ้นโดยไม่มีการแต่งภาพ เป็นภาพถ่ายตอนช่วงอายุ 6-7 เดือน แจ้งเบาะแสมูลนิธิกระจกเงา โทร 0807752673 ขณะนี้วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 21.15 น.ยังไม่พบตัวน้องต่อครับ"