ความจนเป็นพิษ หนุ่มชีวิตรันทดป่วยหนักไม่ยอมไป รพ. ล้มหัวฟาดขอบบ่อน้ำเสียชีวิตคาที่ แม่ร่ำไห้ทั้งบ้านเหลือเงินแค่ 7 บาท ตำรวจตรวจที่เกิดเหตุควักกระเป๋าสมทบน้ำใจร่วมช่วยเหลือ พบบ้านถูกตัดไฟเกือบ 10 ปี เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าไฟ
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 มิถุนายน 2566 พ.ต.ท.อภิรัฐ ทองฉิม พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองนครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.ท.ณัฐพงศ์ ณ อุบล รองผู้กำกับการสืบสวน พ.ต.ท.ณัฐภัทร พุทธังกุโร สารสัตรสืบสวนและ พ.ต.ท.มนัส พิทักษ์บูรพา สารวัตรป้องกันปราบปราม แพทย์เวรชันสูตร รพ.มหาราชและเจ้าหน้าที่กู้ภัยไต้เต๊กเซี่ยงตึ๊ง เข้าตรวจสอบบริเวณข้างบ่อน้ำหน้าบ้านเลขที่ 31/2 หมู่ 1 ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากรับแจ้งว่าพบผู้เสียชีวิตอยู่ในสภาพเลือดท่วมศีรษะอยู่ข้างบ่อน้ำดังกล่าว
ในที่เกิดเหตุพบศพนายประเสริฐ คงตุ้ง อายุ 45 ปี สภาพศพสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว ไม่สวมเสื้อ ศีรษะชุ่มไปด้วยเลือด ท้ายทอยมีแผลฉกรรจ์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดไม่พบว่าเป็นการเสียชีวิตเนื่องจากร่องรอยอาชญากรรมใดๆ จึงเข้าสอบถามนางสาคร คงตุ้ง อายุ 68 ปี มารดาผู้ตายได้ความว่า นายประเสริฐซึ่งอยู่ในสภาพป่วยหนักเรื้อรังจากอาการวัณโรคมาอาบน้ำที่บ่อน้ำอาจเกิดลื่นล้มศีรษะฟาดกับขอบบ่อที่เป็นคอนกรีต เป็นเหตุให้เสียชีวิต ตนมาเจอศพตอนกลับมาจากบ้านญาติอีกหลังจึงแจ้งเจ้าหน้าที่โดยไม่ติดใจสาเหตุใดๆ เนื่องจากเป็นการล้มเสียชีวิตเองโดยที่ไม่ใครทำร้าย
นางสาครยังระบุด้วยว่า อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับนายประเสริฐเพียง 2 คน นายประเสริฐอยู่ในสภาพป่วยหนักไม่ยอมไปหาหมอรักษาอาการด้วยเกรงว่าจะต้องนอน รพ.กลัวแม่จะลำบาก จนร่างกายป่วยหนักไปเรื่อยๆ เป็นเหตุให้อ่อนแรงจนเกิดเหตุขึ้น ทั้งบ้านมีเงินอยู่เพียง 37 บาท แบ่งมา 30 บาทไปซื้อของกินให้นายประเสริฐเหลือเงินเพียง 7 บาท ยังไม่รู้ว่าจะทำศพอย่างไร
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้สังเกตบ้านของนางสาครและนายประเสริฐพบว่าอยู่ในสภาพแร้นแค้นอย่างมากไม่มีไฟฟ้าใช้เนื่องจากถูกตัดกระแสไฟฟ้าเพราะไม่มีเงินชำระมาเกือบ 10 ปีแล้ว ในครัวทำอาหารกับไม้ฟืนที่หาได้จากบริเวณใกล้บ้านเป็นแหล่งเชื้อเพลิงในการประกอบอาหาร ส่วนอาหารสดนั้นได้จากเพื่อนบ้านที่คอยช่วยเหลือมอบให้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งงานสืบสวนงานป้องกันปราบปรามและพนักงานสอบสวน ได้ร่วมกันควักกระเป๋าสมทบเงินสดได้จำนวนหนึ่งมอบให้นางสาครเพื่อไปจัดการศพลูกชาย นางสาครถึงกับร่ำไห้ด้วยความดีใจ พร้อมทั้งบอกว่าลูกสั่งว่าถ้าตายไปนั้นให้เอาไปเผาเลยไม่ต้องทำงานศพใดๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่างน้อยก็ต้องทำบุญวาระสุดท้ายให้ตามประเพณีสัก 1-2 คืนก็ยังดี ขณะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ช่วยประสานงานเพื่อขอหีบศพมาช่วยสงเคราะห์บรรจุศพตามสภาพไว้ก่อน