จากกรณีที่มีการพาดพิงว่ารัฐบาลช่วยเหลือน้ำท่วมล่าช้านั้น เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 62
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าการดำเนินการของรัฐอาจล่าช้าไปบ้าง ไม่สามารถแจกเงินได้ทันทีเหมือนอย่างภาคเอกชน เพราะต้องดำเนินการไปตามขั้นตอน ส่วนเงินงบประมาณจังหวัดละ 50 ล้านบาทนั้น ทางจังหวัดก็ต้องไตร่ตรองก่อนว่าจะใช้จ่ายในด้านใดบ้าง เช่นเดียวกับกองทุนบรรเทาสาธารณะภัย ก็นำมาสมทบช่วยน้ำท่วมได้
“อยู่ดีๆ จะไปถือเงินแจก ทำอย่างนั้นเหมือนเอกชนไม่ได้ เพราะถ้าทำได้มันจะเกิดการเลือกที่รักมักที่ชัง เช่น บ้านนี้ ตำบลนี้ อำเภอนี้เป็นหัวคะแนน เอาไปเลย 2 หมื่น บ้านโน้นไม่รู้อย่างไรเอาไป 2 พัน จำได้หรือไม่ มีรัฐบาลสมัยหนึ่ง มีกองทุนทำนองนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่พื้นที่นี้ได้ 2 ล้าน แต่อีกพื้นที่ให้ 7 ล้าน ทุกวันนี้คดีอยู่ยังอยู่ใน ป.ป.ช. ยังไม่ตัดสินเลย อย่างไรก็ตาม เงินบริจาค เมื่อเข้ามาอยู่ในกองทุนก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทันที” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามว่าเงินในส่วนที่รัฐบาลรับบริจาค เมื่อเอาไปช่วยประชาชนผู้ประสบอุทักภัยจะซ้ำกับเงินบริจาคของทาง
นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์หรือไม่นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า คงไม่ซ้ำ เพราะทางนายบิณฑ์ ช่วยเหลือบรรเทาไปเพื่อซื้ออาหาร ประทังชีวิตเฉพาะหน้า แต่เงินของกองทุนนั้นจะเอาไปช่วยในเรื่องการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซื้อปศุสัตว์คืนให้ หรือเอาไปใช้ในการฟื้นฟู แต่ไม่รวมถึงการทำถนนหนทาง เพราะส่วนนั้นใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ใช้เงินบริจาค ดังนั้นวัตถุประสงค์ต่างกัน วิธีการจ่ายก็ต่างกัน
ส่วนการจะตรวจสอบ กระทรวงต่าง ๆ ที่มีการมอบเงินสมทบช่วยเหลือน้ำท่วมว่า นำเงินมาจากไหน ตนเอง มองว่า เรื่องนี้ทำมาตั้งนานแล้ว ก็ยังต้องทำเป็นเรื่องปกติ ทราบว่า เป็นเงินจากภาคเอกชนบริจาคให้กระทรวงบ้าง จากรัฐวิสาหกิจบ้าง เงินกรณีฉุกเฉินบ้างก็เจียดมา 3 ล้าน หรือ 5 ล้าน แล้วว่าแต่จะดึงมาส่วนใด เพราะอย่างน้ำท่วมก็เป็นกรณีฉุกเฉินที่สามารถดึงงบประมาณมาใช้ก่อนได้
ติดตามข่าวสารเรื่องราวที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้ที่
อมรินทร์ทีวี เอชดี ช่อง 34