สาวแม่ลูกอ่อนนั่งปัสสาวะ รู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมาจากช่องคลอด กระจกส่อง ผงะ เจอผ้าก๊อซ ที่หมอลืมไว้ คาดนี่คือสาเหตุปวดแผลคลอดนานผิดปกติ
จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความ “เอาเรื่องอยู่ล่ะ โรงบาลไม่เห็นจะรับผิดชอบอะไรเลย ทำคลอดแต่ลืมเอาผ้าก๊อซออกจากช่องคลอด!!! ถ้าไม่เจ็บเพิ่มขึ้น ไม่เจ็บนานกว่าปกติ คงไม่รู้เลยว่าหมอลืมเอาผ้าก๊อซออก แล้วไม่ใช่ก้อนเล็กๆ เลย จนกลิ่นเหม็นเน่าไปหมด ถ้ารอวันตรวจหลังคลอดคงเน่าและติดเชื้อไปแล้ว พอมาตรวจภายในเพราะกลัวติดเชื้อ ก็แจ้งแค่มดลูกบวม อักเสบ รับยากลับบ้านได้ ก็ไม่เห็นแจ้งว่าทาง รพ. จะรับผิดชอบอะไรเลย...” ทำให้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางเข้าพบกับ นางเล็ก (นามสมมติ) อายุ 58 ปี และ น.ส.หวาน (นามสมมติ) อายุ 24 ปี สองแม่ลูกชาว อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เจ้าของโพสต์ดังกล่าว เพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
น.ส.หวาน เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 02.00 น. ของวันที่ 29 พ.ค. 2566 ตนได้เดินทางไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน อ.โพธาราม ด้วยการคลอดแบบธรรมชาติ โดยบุตรสาวมีน้ำหนักแรกคลอดที่ 3,300 กรัม หลังจากนั้นตนได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ระหว่างนี้ตนรู้สึกเจ็บที่บริเวณฝีเย็บหลังคลอด และมีอาการปวดที่มดลูก แม้ผ่านมานานหลายสัปดาห์ แต่อาการดังกล่าวกลับทวีความรุนแรงขึ้น
กระทั่งเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา ในขณะที่ตนกำลังปัสสาวะอยู่รู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างไหลออกมาจากช่องคลอด จึงนำกระจกมาส่องดู ก็พบผ้าก็อซติดอยู่บริเวณปากช่องคลอด ก่อนจะใช้มือดึงออกมา โดยผ้าก็อซดังกล่าวอยู่ในสภาพช้ำเลือดช้ำหนอง และมีกลิ่นเหม็นเน่า
ตนจึงตัดสินนำผ้าก็อซดังกล่าวไปพบแพทย์ เพราะเกรงว่าตนจะติดเชื้อ หลังจากตรวจภายใน แพทย์แจ้งแต่เพียงว่ามดลูกบวม อักเสบ แต่ไม่ติดชื้อ ให้ตนรับยาและกลับบ้านได้ แต่ขณะที่ตนเข้ารับยา จะต้องจ่ายค่ายา 30 บาท แต่ตนไม่มีเงินสดพกติดตัวไปเลย จึงแจ้งความต้องการขอชำระด้วยการโอนเงิน แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องมียอดชำระขั้นต่ำที่ 500 บาท จึงไม่รับโอน ตนจึงไม่มีเงินจ่ายค่ายา ต้องจำใจเดินทางกลับบ้านตัวเปล่า
ในตอนนี้ สิ่งที่ตนวิตกกังวลมากที่สุดคือเรื่องแผลติดเชื้อ เพราะอาจส่งผลกับตนและลูกได้ในอนาคต จึงอยากฝากไปถึงคณะแพทย์ พยาบาลที่ทำคลอด ให้มีความรอบคอบมากกว่านี้ จึงโพสต์เรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
ด้าน นางเล็ก ผู้เป็นแม่ เปิดเผยว่า หลังจากทราบว่าหมอลืมผ้าก็อซไว้ในช่องคลอดของลูกสาว ทำให้ตนรู้สึกโกรธจนทำอะไรไม่ถูก แม้ต่อมาทางคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะได้เดินทางมาเยี่ยมที่บ้าน พร้อมนำของฝากเป็นอุปกรณ์ของใช้ดูแลเด็กเล็กและเครื่องดื่มชูกำลัง จำนวน 1 ลัง มามอบให้เพื่อแสดงความขอโทษ
แต่ตนยังรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกสาวในอนาคต และต้องการเรียกร้องให้โรงพยาบาลแสดงความรับผิดชอบที่มากกว่าคำว่า “ขอโทษ” โดยตนต้องการให้โรงพยาบาลจ่ายค่าชดเชยเยียวยา เนื่องจากครอบครัวตนต้องขาดรายได้ เพราะต้องหยุดงานมาดูแลลูกสาวที่ได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของบุคลากรทางการแพทย์