“เสรี” ดับฝัน “พิธา” เย้ยเสียง ส.ว. โหวตนายกฯให้ มีไม่เกิน 5 คน จ่อชงข้อมูล “หุ้น-ที่ดิน” ยื่นกกต. ขู่ยื่นตีความคุณสมบัติ ฉีกหลักการปี 62
วันที่ 27 มิ.ย. 66 ที่รัฐสภา นาย นพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือต่อนาย สมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา และนาย เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะ กมธ.การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา
เพื่อขอให้ ส.ว. ร่วมกันลงชื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัตินาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กรณีถือ หุ้น iTV ขัดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
นาย เสรี สุวรรณภานนท์ กล่าวว่า ข้อมูลที่นาย นพรุจยื่นเรื่องการถือ หุ้น iTV ของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สอดคล้องข้อมูลที่ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ตรวจสอบอยู่ ในวันที่ 28 มิ.ย. เวลา 10.00 น. กมธ.จะไปพบนาย อิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เพื่อขอทราบความคืบหน้ากระบวนการการทำงานของ กกต. ภายหลังการรับรอง ส.ส. และความคืบหน้าการตรวจสอบนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ถูกตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา151 กรณีรู้ตัวขัดคุณสมบัติ แต่ยังลงสมัครเลือกตั้ง จะนำหลักฐานถือครอง หุ้น iTV ของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และข้อมูลถือครองที่ดิน 14ไร่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปยื่น กกต. นำไปเทียบเคียงให้เห็นช่วงเวลากระบวนการจัดการมรดกเรื่อง หุ้น iTV กับที่ดินมีความเชื่อมโยงกัน
กรณีการครองที่ดิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แจ้งว่า ได้โอนที่ดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดกมาเป็นของตนเองในฐานะทายาท ปี 2560 แสดงให้เห็นทรัพย์สินทุกอย่างมีการจัดการมรดกมาตั้งแต่ปี 2560 แล้ว ถ้านาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ประสงค์รับ หุ้น iTV ต้องโอนไปตั้งแต่ปี 2560 ไม่ถือครองมาถึง 17 ปี นอกจากนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาว่า ทรัพย์มรดกตกทอดเป็นทรัพย์สินของทายาททันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต เท่ากับนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือครอง หุ้น iTV ในฐานะผู้รับมรดก ไม่ใช่ผู้จัดการมรดก การโอน หุ้น iTV ของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยืนยันว่า เป็นเจ้าของหุ้น แม้อ้างโอนในฐานะผู้จัดการมรดก แต่หุ้นที่โอนไป นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีหุ้นส่วนอยู่ ขึ้นอยู่กับมีเพียงส่วนหนึ่ง หรือเป็นเจ้าของทั้งหมด
นาย เสรี กล่าวว่า หลังจากนี้ ส.ว.จะพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เข้าชื่อกัน 1 ใน 10 หรือ 25 คน จาก ส.ว. 250 คน ส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160 ที่ระบุต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามถือครองหุ้นสื่อ ในฐานะที่ ส.ว.มีส่วนร่วมโหวตนายกฯเมื่อมีข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติต้องห้าม ย่อมยื่นตีความได้ ควรยื่นให้ตรวจสอบก่อนจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หาก กกต.ไม่ยื่นตีความคุณสมบัตินาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก่อนโหวตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นไปได้ที่ส.ว.จะเข้าชื่อยื่นตีความคุณสมบัติแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของนายพิธา
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ส.ว.ยื่นตีความคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะทำให้ปลุกกระแสสังคมออกมาต่อต้านหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า กระแสสังคมคือส่วนหนึ่ง ความถูกต้องคือส่วนหนึ่ง ถ้ากระแสสังคมไม่ถูกต้อง จะยึดอะไรระหว่างความถูกต้องกับกระแส ถ้ายึดแต่กระแสก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
เมื่อถามว่า นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อยากให้ ส.ว.ยึดหลักเกณฑ์โหวตนายกรัฐมนตรีตามเสียงข้างมาก เหมือนปี 2562 นายเสรี กล่าวว่า สิ่งที่ ส.ว.ต้องพิจารณาคือ คุณสมบัติและความเหมาะสม ต่างจากปี 2562 ที่ไม่มีการเสนอแก้ไข มาตรา112 การให้ยึดมาตรฐานปี 2562 มาใช้วันนี้คงไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ดุลยพินิจแต่ละช่วงเวลา สถานการณ์ และตัวบุคคลต่างกัน พฤติกรรมการแสดงออกทุกเรื่องคือ สิ่งที่ ส.ว.จะนำมาประกอบการตัดสินใจ มาตรฐานการเลือกนายกฯครั้งที่แล้วมาใช้ครั้งนี้ไม่ได้ การที่นายพิธาอ้างมีเสียง ส.ว.เพียงพอได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถ้ามากพอก็เป็นเลย เท่าที่ปรากฎยังไม่เห็นมีใครแสดงออกชัดเจน รายชื่อ ส.ว.17 คนที่เคยปรากฏชื่อสนับสนุน หลายคนปฏิเสธถูกเอาชื่อไปใส่โดยไม่เคยพูด ทุกคนพูดตรงกัน ถ้าได้เสียงข้างมากแล้วยังแก้มาตรา 112 ก็ไม่โหวตให้
ผู้สื่อข่าวถามว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองอื่นๆ ส.ว.จะโหวตให้หรือไม่ นายเสรี ตอบว่า ต้องดูมีปัญหาแก้มาตรา112 และคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ มีนโยบายหลอกลวงประชาชนหรือไม่ พฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เป็นเหตุผลที่ ส.ว.จะนำมาตัดสินใจ เมื่อถามว่า หากชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย ส.ว.สบายใจขึ้นหรือไม่ นายเสรี ตอบว่า ไม่ใช่เรื่องสบายใจหรือไม่สบายใจ เป็นเรื่องที่ ส.ส.จะไปตกลงกันให้สบายใจ รวบรวมเสียงมา ส.ว.จะพิจารณาเลือกคนไม่มีคุณสมบัติขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อถามย้ำว่า แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย จะมีภาษีมากกว่านาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นใคร พรรคเพื่อไทยมี 3 ชื่อ จะเสนอใคร ส่วนพรรคภูมิใจไทยมีนาย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องพิจารณาก่อนว่าบุคคลนั้นเหมาะสมหรือไม่ รวมถึงชื่อ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ต้องพิจารณาในเกณฑ์เดียวกัน
“ผมเชื่อว่า นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เสียงไม่พอเป็นนายกรัฐมนตรี เสียงส.ว.ที่หนุนนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ชัดเจนมีไม่เกิน 5 เสียง การตัดสินใจของ ส.ว. ไม่ได้มีใบสั่งจากใคร แต่เป็นใบสั่งจากประชาชน 14 ล้านเสียงที่นาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้มา ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนมีสิทธิ์ลงคะแนน 50 ล้านคน ใช้สิทธิ์ 40ล้านคน เลือกพรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง แสดงว่า 14 ล้านเสียง เป็นเสียงข้างน้อย การที่เสียงข้างมากไม่เลือกเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญว่า เหตุใดไม่เลือก ส.ว.ไม่ได้ขัดแย้งกับ 14 ล้านเสียง แต่ทำตามเสียงข้างมาก” นายเสรี กล่าว