ตำนานพระปืด! เรื่องเล่าลี้ลับวัดปราสาทแก้ว ตั้งจิตขอพรยกพระเสี่ยงทาย สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เมืองช้าง
วันที่ (25 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสุรินทร์รายงานว่า มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.สุรินทร์ โดยมีเรื่องเล่าของตำนานความลี้ลับ ที่มีความน่าสนใจมากๆ คือวัดปราสาทแก้ว หรือวัดพระปืด ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ.พระปืด ม.2 ต.บ้านแร่ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ โดยมีตำนานเรื่องเล่า และความลี้ลับของตัวปราสาทแก้ว และพระปืด ที่เป็นองค์พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในตัวปราสาท รวมถึงพระเสี่ยงทาย ที่ไม่ว่าใครเข้ามากราบไหว้ขอคำทำนายเสี่ยงทาย ก็ถึงกับต้องทึ่งไปตามๆกันกับวิธีการเสี่ยงทาย และผลคำทำนายที่ได้รับ
พระครูสถิตวรรัตน์ หรือพระแสงจันทร์ ฐานวโร อายุ 77 ปี ( เจ้าอาวาสวัดปราสาทแก้ว ) เล่าว่า เรื่องราวตำนานลี้ลับของปราสาทแก้วนี้ คือ ปราสาทสร้างด้วยศิลาแลง ในสมัยขอม ประมาณ ค.ศ. 20 และตำนานที่เล่าต่อๆกันมาคือบนยอดปราสาท จะมีลักษณะเป็นแก้ว จึงมีชื่อว่าปราสาทแก้ว แต่ยอดปราสาทที่เป็นแก้วนั้นได้หายสาบสูญไป ซึ่งก็ยังไม่มีใครยืนยันได้ว่า หายไปเมื่อไหร่ อย่างไร เป็นเพียงเรื่องเล่า
ส่วนเรื่องลี้ลับที่ชาวบ้านเล่าต่อๆกันมาว่า ในสมัยนั้นมีกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาหาของป่า แล้วบังเอิญไปพบกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ที่ลักษณะคล้ายกวาง แต่ลำตัวเป็นสีทองอร่าม จากนั้นชาวบ้านที่เห็นก็พยายามวิ่งไล่ล่า และขว้างอาวุธไปถูกบริเวณขาของกวาง แล้วกวางก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่า ชาวบ้านกลุ่มนั้นเดินตามหาพบเพียงลอยเลือดที่หยดเป็นทางเข้าไปที่ตัวปราสาทแก้ว แต่พอชาวบ้านกลุ่มนี้ตามไปถึงตัวปราสาท มองเข้าไปด้านใน แทนที่จะพบกวางตัวนั้น แต่กลับพบเป็นองค์พระพุทธรูป ตั้งประดิษฐานอยู่ในตัวปราสาท จึงอุทานว่า “เปรี๊ยะปืดๆ” ( เป็นภาษากุย หรือภาษาส่วย ซึ่งแปลว่า “พระใหญ่ๆ” ) และที่ทำให้ชาวบ้านกลุ่มนั้นถึงกับอึ้งไปอีก คือองค์พระพุทธรูปนั้นมีเลือดไหลออกมาจากข้อเท้า จึงเชื่อว่า กวางสีทองตัวนั้นก็คือพระพุทธรูปแปลงกายมานั่นเอง
ซึ่งในสมัยนั้น เป็นเรื่องยากมากๆที่จะได้พบเห็นองค์พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ จากนั้นชาวบ้านจึงเรียกว่า พระปืด มาจนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันลอยบากที่เกิดขึ้นอยู่ที่ข้อเท้าของพระพุทธรูป ก็ยังมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีเรื่องที่แปลก และน่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า องค์พระพุทธรูปนั้นมีขนาดใหญ่กว่าช่องที่อยู่ด้านหน้าของปราสาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนยกองค์พระลอดช่องเข้าไปตั้งประดิษฐานไว้ จึงทำให้ชาวบ้านยิ่งเชื่อว่า กวางสีทองตัวที่กลุ่มชาวบ้านไล่ล่านั้น คือพระพุทธรูปแปลงกายมา
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2523 องค์พระพุทธรูป ( พระปืด ) ก็ถูกโจรลักลอบตัดเอาเศียรไป ท่านเจ้าอาวาสได้ให้ช่างมาทำเศียรขึ้นมาใหม่ โดยช่างได้ปั้นขึ้นมาจากจิตนาการของชาวบ้านในพื้นที่ ที่จำลักษณะเศียรขององค์พระปืดได้ เนื่องจากในสมัยนั้นไม่ได้มีการถ่ายภาพบันทึกเก็บไว้ จึงทำได้เพียงปั้นขึ้นมาให้คล้ายกับเศียรเดิมให้มากที่สุด
ทั้งนี้พระครูสถิตวรรัตน์ หรือพระแสงจันทร์ ฐานวโร ยังเล่าเรื่องราวความลี้ลับขององค์พระเสี่ยงทายอีกว่า พระเสี่ยงทายองค์นี้อยู่ควบคู่มากับพระปืดอยู่แล้ว ซึ่งลักษณะเป็นการปั้นขึ้นด้วยศิลปะสมัยขอม โดยองค์พระเสี่ยงทายนี้ก็เคยถูกคนร้ายขโมยไปถึง 2 ครั้ง แต่ก็เอาไปไม่ได้ ครั้งแรกชาวบ้านไปพบที่หนองน้ำบ้านบึง ซึ่งอยู่ในระแวกเดียวกัน แต่เศียรถูกตัดแยกส่วนออกไป ต่อมามีชาวบ้านไปพบอยู่ในแม่น้ำเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และนำกลับมาที่วัด ก่อนจะซ่อมแซมกลับมาเป็นสภาพเดิม
ครั้งที่สองที่ถูกคนร้ายลักไป ทางเจ้าอาวาส และชาวบ้าน ได้ไปให้หมอดู 9 คน ทำนายตามความเชื่อ ซึ่งหมอดูทั้ง 9 คนทำนายเหมือนกันทั้งหมดว่า ไม่ต้องออกตามหา เดี๋ยวคนร้ายก็จะนำพระเสี่ยงทายกลับมาส่งคืน เวลาผ่านไปเพียง 45 วัน มีชาวบ้านไปพบที่ทุ่งนา บ้านหนองตะครอง บรรดาชาวบ้านที่ไปพบนั้น ไม่มีใครสามารถยกองค์พระขึ้นได้ จึงพากันไปนิมนต์เจ้าอาวาสวัดปราสาทแก้ว ที่บ้านพระปืด ในสมัยนั้นมา แล้วอธิษฐานว่า หากเป็นพระคู่บ้านพระปืดจริง ขอให้ยกองค์พระขึ้นได้ พอตั้งจิตอธิษฐานแล้ว หลวงพ่อก็สามารถยกขึ้นได้โดยง่าย และนิมนต์กลับมาไว้ที่วัดปราสาทแก้วเหมือนเดิม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นจึงเป็นที่มาของความเชื่อ และแรงศรัทธาต่อองค์พระเสี่ยงทายองค์นี้
ส่วนวิธีการขอพรคำทำนายเสี่ยงทายนั้น คือต้องตั้งจิตอธิฐาน ทำจิตใจให้สงบ อธิฐานสิ่งที่อยากรู้ แล้วลองยกองค์พระขึ้น ถ้าคำอธิฐานนั้นจะเกิดขึ้นจริง ก็จะยกองค์พระขึ้นได้โดยง่าย เหมือนน้ำหนักเบา แต่ถ้าคำอธิฐานนั้นจะไม่เกิดขึ้นจริง ก็จะยกองค์พระไม่ขึ้นเลย คล้ายกับมีน้ำหนักมากจนไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นองค์พระองค์เดียวกัน