ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวดัง โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกติดตั้งแอปกรมที่ดิน ถูกดูดเงินในบัญชีหายไปรวมกว่า 1 ล้านบาท
วันนี้ (9 ส.ค.) น.ส.ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวชื่อดังเดินทางไปที่ สน.ภาษีเจริญ เพื่อเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินโทรศัพท์มาหา ก่อนจะล่อลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น ดูดเงินไปรวมกว่า 1 ล้านบาท
น.ส.ประวีณมัย เผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตนทำงานอยู่บ้าน ได้มีโทรศัพท์โทรเข้ามา อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยอ้างว่าจะให้ตนอัพเดทข้อมูลที่ดิน ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงของการเสียภาษีที่ดินอยู่พอดี ตนจึงตรวจสอบชื่อในเว็บไซต์ของกรมที่ดินพบว่ามีชื่อเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดินประจำจังหวัดภูเก็ต จึงแอดไลน์กัน
จากนั้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ตนทำการอัปเดตสถานะผ่านทางออนไลน์ ด้วยการติดตั้งแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ โดยออกอุบายว่าต้องให้ทำการอัพเดต ผ่านโทรศัพท์มือถือที่เป็น iOS หรือ แอนดรอยด์เท่านั้น ตนจึงทำการติดตั้งแอปพลิเคชันที่หน้าตาเหมือนกับของทางการ ซึ่งขณะติดตั้งแอป ตนไม่สามารถทำอะไรกับโทรศัพท์ได้เลย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังรีโมตข้อมูลจากโทรศัพท์ของตนไปยังโทรศัพท์ของเขา
ตลอดการพูดคุยมีการประวิงเวลาเพื่อไม่ให้ตนวางสายและออกจากแอป พร้อมกับถามเลขที่บัญชีธนาคาร และให้สแกนใบหน้า แต่ก็สแกนไม่ผ่าน จนกระทั่งตนเริ่มเกิดความสงสัยจึงวางสายไปและออกจากระบบ เมื่อตรวจสอบภายหลังพบว่ามีการทำธุรกรรมจากโมบายล์แบงกิ้งธนาคารหนึ่งที่ผูกบัญชีบัตรเครดิตเอาไว้ มียอดเงินโอนเข้ามา 5 แสนบาท และ 1.2 แสนบาท จากนั้นก็มียอดเงินโอนออก 5 แสนบาท และ 1.75 แสนบาท คนร้ายนำบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปธนาคาร ไปกดเงินสด โดยโอนเข้าบัญชีธนาคาร และโอนเงินออกไปที่มิจฉาชีพ
จากนั้นตนตรวจสอบอีกธนาคารหนึ่งปรากฏว่า ก็ถูกเอาบัตรเครดิตไปถอนเงินในบัตร และยังมีบัญชีเงินเก็บของอีกธนาคาร รวม 3 บัญชีมูลค่าความเสียหายร่วม 1 ล้านบาท ตนจึงรีบติดต่อไปยังธนาคารเพื่อจะขออายัดบัญชีปลายทาง แต่ธนาคารแจ้งว่าต้องมาแจ้งความก่อน เพื่อขอรหัสถึงจะสามารถอายัดบัญชีปลายทางได้
น.ส.ประวีณมัย เผยว่า ที่ตนหลงเชื่อเนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีข้อมูลโฉนดที่ดินของตน ข้อมูลการเสียภาษี และอยู่ในช่วงที่ต้องเสียภาษีที่ดินพอดี ตนยอมรับว่าพลาดที่ไม่ทันระวังตัวให้ดี
เบื้องต้นพนักงานสอบได้ทำการสอบปากคำเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งให้ฝ่ายสืบสวนติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป