"หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" ย้ำชัดว่าไม่เชื่อเรื่อง "ครูกายแก้ว" เพราะไม่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ ชี้สังคมกำลังอ่อนแอ หาที่พึ่งไม่ได้จนต้องหันไปพึ่งอย่างอื่นมากกว่าตัวเอง
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้ไปพูดคุยกับทาง "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ" ถึงประเด็นของ "ครูกายแก้ว" ซึ่งทาง "หมอบี" ได้เผยว่า สำหรับ "ครูกายแก้ว" เรื่องประวัติตนคิดว่าคงไม่มีใครสามารถรู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าประวัติโดยละเอียดคืออะไร แต่ด้วยความเขาอ้างอิงมาตั้งแต่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเก่าแก่มาก คนก็เอาไปคาดการณ์กัน บวกกับใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาประกอบ ซึ่งจริงๆ มันไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่เรารับรู้กัน ส่วนที่หลายคนพูดว่าเป็นอาจารย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตนคงไม่สามารถตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เราดูหลักฐานดีกว่า
ถ้ากล่าวอ้างถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในยุคนั้นถ้าใครเห็นรูปปั้นต่างๆ หรือภาพสลักต่างๆ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากในสมัยนั้นพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ท่านค่อนข้างศัทธาพระพุทธศาสนาในเชิงมหายานค่อนข้างลึกซึ้งมาก แม้กระทั่งบนเศียรมงกุฎของท่านจะเป็นพระอมิตาภพุทธเจ้า ตัวแม่ท่านเองก็พยายามทำรูปลักษณ์สื่อถึงปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นพระสูตรสำคัญมากในทางมหายาน นอกจากนั้นพอไปสืบว่าในยุคนั้นมีครูบาอาจารย์คนไหนที่เก่งๆ ดังๆ ก็จะมี 2-3 ท่าน ที่ไม่ได้เกี่ยวหรือสื่อถึงครูกายแก้วนี้เลย อาจจะมีกลิ่นอายของมนต์ตราญาณ แต่ก็เป็นมนต์ตราญาณในความเป็นมหายานอยู่ดี ไม่มีตรงไหนที่สื่อไปถึงเลย หลักฐานไม่มีเลย ให้ตายยังไงก็ไม่มี
ส่วนภาพแกะสลักตรงหิน เป็นเหมือนพราหมณ์คนนึง เขาสันนิษฐานว่าเป็นแส้ขนม้า หรือเป็นพัด ไม่ได้เกี่ยวกับปีกเลย สืบยังไงก็ไม่มี อาจจะเป็นไปได้ที่คนจะตีความเพี้ยนไปจากนี้ แต่เนื้อหามันน่าจะเกี่ยวเนื่องโครงเดิมที่จะสืบได้ ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าใครเชื่ออะไรก็กราบไหว้ไปหมด
“หมอบี” เผยต่อว่า เราต้องถามตัวเองว่าเราเป็นใคร ไหว้ไปเพื่ออะไร ถ้าคิดว่าอยากจะมีชีวิตดีขึ้น มีทรัพย์สิน มีความรัก มันเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทำได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า และถามเล่นๆ ต่อว่าเรานับถือศาสนาอะไร ซึ่งพุทธเขาก็นับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระเจ้าชัยวรมันเองก็มีหลักฐานชัดเจนว่าท่านนับถือ 7 อย่าง คือ ไตรสรณคมน์ ปรัชญาปารมิตา ประมาณนี้ เรียกว่าเรื่องนี้เป็นนิสัยน่ารักของคนไทย ไอ้นี่เขาว่าดี ไม่มีจริงก็จะไหว้ เอาหมดทุกอย่าง แล้วบอกว่าสบายใจ ซึ่งมันสะท้อนถึงปัญญาของคน นี่มันยุคไหนแล้ว ที่แห่กันไปไหว้ แต่คาดหวังว่าประเทศชาติจะอุดมไปด้วยปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ จะเจริญจากการไหว้อะไรแบบนี้ก็ลองพิจารณาดู
ถ้าถามว่าควรไม่ควรที่จะกราบไหว้ ตนก็จะถามว่าไปไหว้เพื่ออะไร ขออะไร พรหรืออะไร พร แปลว่าประเสริฐ อยากชีวิตประเสริฐก็ทำตัวเอง ไม่งั้นเราจะเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร ถ้าเชื่ออะไรแบบนี้ ถ้าดีจริงคุณก็ไหว้เลย ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องทำมาหากินก็ได้ ถ้าจะขอเป็นกำลังใจ ก็ขอพ่อแม่ไปก็ได้ เป็นผู้มีพระคุณ หรือให้ไหว้พระไหว้เจ้าที่เราศัทธา ที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นแบบอย่างให้เราจริงๆ
บอกการที่เราจะกราบลงไป แล้วเราบอกว่าเคารพทเขาสูงกว่าเรา เราก็ควรมั่นใจนิดนึงว่าสูงกว่าเรา ถ้าไปไหว้อะไรที่มันต่ำกว่า มันก็ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นเทพจริงๆ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไหว้ อยู่ที่ว่าเราไหว้เพื่ออะไร เทพเขาก็มีงานของเขา ไม่งั้นถ้าไหว้แล้วได้ทุกอย่าง ชีวิตก็ดีไปหมดแล้ว ประเทศไทยคงจะเจริญที่สุดในโลก เพราะเราไหว้ทุกอย่าง
ส่วนที่หลายคนกลัวเรื่องอาเพศ “หมอบี” บอกว่าก็ไม่ต้องไหว้ เราอยู่ในที่ที่เราเป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องกลัว อย่างที่บอกอะไรที่เข้ามาแล้วมันหมิ่นเหม่ ใช่ไม่ใช่ เราจำเป็นไหมที่ต้องไปไหว้ แล้วบอกไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คือถ้าไม่เชื่อต้องหาความรู้ เราหวังพึ่งทุกอย่าง แต่ไม่พึ่งตัวเอง
ส่วนที่มีคลิปคนไปไหว้แล้วเกิดลมฟ้าลมฝน ช่วงนี้มันมีพายุเข้า ฝนตกอยู่แล้ว ดูพยากรณ์ก็ได้ เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ ก็ทำให้ฝนหยุด งานจะได้ราบรื่นสิ ย้ำพายุเข้า เรียกว่าสิ่งนี้เหมือนเป็นเทรนด์รายปีว่าอะไรมา ปีนี้อาจจะเป็น "ครูกายแก้ว" ซึ่งมันแสดงออกถึงสังคมที่มันอ่อนแอ ที่หวังพึ่งอย่างอื่น
"ครูกายแก้ว" มีอิทธิฤทธิ์ช่วยเรื่องอะไร ตนก็ไม่รู้ เพราะหลักฐานมันไม่มี ใครจะเชื่อก็แล้วแต่ ตัวใครตัวมัน ถ้าถามตนคือสิ่งนี้มันไม่มี จะไปไหว้ขอทำไม เป็นตนคงไม่ไหว้ เราอาจจะด้อยปัญญา ถ้าใครรู้ว่าไหว้แล้วได้อะไรก็แล้วแต่ ถ้าท่านมีจริง ท่านน่าจะหลบสะพานได้ เรื่องจะเป็นสายดำไหม ต่อให้มีจริง ใจเรายังคิดว่าดีหรือไม่ดี ไม่สามารถการันตีได้ด้วยใจบริสุทธิ์ มันก็ไม่แน่ใจว่าจะกราบทำไม เอาเป็นว่า ไม่ไหว้ไม่เป็นไร
เรื่องนี้มันจะทำให้สังคมเรางมงายลงไปกว่าเดิมหรือไม่ หมอบีมองว่าแน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นการสะท้อนชัดเจนมากๆ ว่าสังคมเราหาที่พึ่งไม่ได้ ไปพึ่งอย่างอื่นมากกว่าตัวเอง แสดงออกว่าสังคมอ่อนแอ ต้องการอะไรที่มันเร็ว เช่น อยากรวยในพริบตาเดียว แต่เขาไม่คิดว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัย มีกระบวรการของมัน การที่จะรวยได้ต้องขยันทำมาหากิน มีปัญญา ย้ำ “ครูกายแก้ว” ไม่มีหลักฐาน ส่วนตัวเคยได้ยินมานานแล้ว หลายสิบปี ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามมันก็มีเรื่องราวใหม่ๆ เสมอ เป็นเรื่องซ้ำเดิม เป็นอาจารย์ เป็นพระ ซึ่งมันไม่มีหลักฐาน ส่วนตัวของไม่เชื่อแล้วกัน ใครเชื่อก็แล้วแต่