แม่นอนไม่หลับ ลูกถูกจับเป็นตัวประกัน เหตุโจมตีรุนแรงในอิสราเอล วอนรัฐบาลไทยเร่งช่วยเหลือ เชื่อองค์พระธาตุพนมจะช่วยคุ้มครอง
กรณีกลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซา ก่อเหตุโจมตีประเทศอิสราเอล โดยสถานเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ แจ้งว่ามีแรงงานไทยถูกจับไปเป็นตัวประกัน 2 คน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 1 คน ซึ่งหนึ่งในตัวประกันที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสจับตัว เป็น ชาวบ้านหนองแสง หมู่ 5 ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม โดยถูกจับตัวไปในช่วงเย็นของวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างทางรัฐบาลไทย ประสานเอกอัครราชทูตไทย ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่ยังไม่ทราบชะตากรรม และข่าวความคืบหน้า เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของแรงงานไทย
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่บ้านหนองแสง หมู่ 5 ต.นามะเขือ อ.ปลาปาก จ.นครพนม โดยได้รับคำยืนยันจาก นายธวัชชัย อ่อนแก้ว อายุ 47 ปี พร้อมภรรยาคือ นางทองคูณ อ่อนแก้ว อายุ 47 ปี ว่า เป็นพ่อแม่ของแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันในเหตุก่อการร้ายที่อิสราเอล ทราบชื่อว่านายณัฐพร อ่อนแก้ว หรือตั้ม อายุ 26 ปี เป็นแรงงานไทยไปทำงานเกษตร ในเขตฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอล ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564
ทั้งนี้ทางครอบครัว ยืนยันว่าดูภาพถ่ายหลักฐานจากสื่อโซเชียล มั่นใจว่าเป็นลูกชายแน่นอน หลังมีข่าวเกิดเหตุสู้รบกัน ก็ขาดการติดต่อกับลูกชายหลายชั่วโมง จากปกติจะมีการโทรผ่านแชทเฟซบุ๊กตลอด ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อเพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้จักที่เป็นแรงงานไทยได้
ด้าน นางทองคูณ อ่อนแก้ว หรือแม่คูณ อายุ 47 ปี แม่ของน้องตั้ม แรงงานไทยในประเทศอิสราเอล ที่ถูกจับเป็นตัวประกันว่าในก่อการร้ายครั้งนี้ เปิดเผยว่า จากการติดตามข้อมูลข่าวสาร ภาพจากสื่อโซเชียล มั่นใจว่าลูกชาย คือ นายณัฐพร อ่อนแก้ว หรือตั้ม อายุ 26 ปี เนื่องจากปกติหลังเลิกงานตนกับลูกชายจะติดต่อพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่กันตลอดทุกวัน ผ่านทางแชทเฟซบุ๊กลูกชาย ชื่อ Natthaporn Onkeaw และด้วยความเป็นห่วงที่ไปทำงานต่างประเทศ อีกทั้งก็ทำงานเกษตรอยู่ในเขตสู้รบฉนวนกาซา ล่าสุดหลังมีข่าวความรุนแรง พบว่าเฟซบุ๊คลูกชายไม่มีความเคลื่อนไหว และพยายามติดต่อโทรสอบถาม แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งตนก็ไม่มีคนรู้จักในที่ทำงานเดียวกับลูกชายด้วย มั่นใจถูกจับตัวอย่างแน่นอน
นางทองคูณเล่าต่อว่า ตนมีลูกแค่ 2 คน น้องตั้มเป็นลูกชายคนโต อีกคนเป็นลูกสาวตอนนี้อายุ 12 ปี น้องตั้มจึงเป็นเสาหลักครอบครัว ขยันทำงาน รักครอบครัว ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนพ่อน้องตั๊มก็เคยไปทำงานประเทศอิสราเอลเช่นกัน เพราะครอบครัวยากจน จึงไปขายแรงงานต่างประเทศหวังสร้างฐานะ จนกระทั่งลูกชายมาสานต่อพ่อไปทำงานเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ผ่านกรมการจัดหางาน มีค่าใช้จ่ายเดินทางทั้งหมดรวมประมาณ 60,000 บาท โดยไปทำงานสวนเกษตร เงินเดือนประมาณ 50,000 บาท ถือว่ารายได้ดี สัญญาจ้าง 5 ปี แต่ยังต้องเก็บเงินเพราะสร้างบ้าน ซื้อรถยนต์ รวมถึงรักษาพ่อที่ป่วยเบาหวาน มาถึงตอนนี้ยังไม่ทราบข่าวความเคลื่อนไหว ได้แต่รอความหวังจากรัฐบาลให้ประสานการช่วยเหลือ ตนห่วงความปลอดภัยของลูกมาก
สิ่งสำคัญในตอนนี้ ตนได้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาวนาให้คุ้มครองปกปักษ์รักษาน้องตั้มลูกชายปลอดภัย ส่วนตัวยังมั่นใจเชื่อศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคุ้มครองลูกชาย อีกทั้งก่อนเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล ได้นำเหรียญพระเครื่องหลวงพ่ออวน เกจิชื่อดังในวัดหมู่บ้าน รวมถึงเหรียญองค์พระธาตุพนมให้ลูกคล้องคอไว้ โดยปกติทุกวันลูกชายจะเล่าให้ฟังว่า จะกราบไหว้ขอพรตลอด จึงเชื่อว่าลูกชายยังปลอดภัย