ชีวิตแบบใด? อาจารย์เจษฎ์ ออกโรงเตือนคนไทยอย่าหาทำ กิน "ดินเหนียวรัสเซีย" หลังกำลังเป็นเทรนด์ฮิต เชื่อขับสารพิษ รสชาติอร่อยลงตัว
วันที่ 11 ต.ค.66 อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เตือน อย่าหาทำ "ดินเหนียวรัสเซีย" กินไม่ได้และอันตรายต่อสุขภาพ หลังมีความเชื่อผิดๆ แพร่ในโลกออนไลน์ว่า ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ แถมยังมีรสชาติอร่อยนัวลิ้น
จากโพสต์ อาจารย์เจษฎ์ ระบุว่า "ไม่ส่งเสริมให้เอา "ดิน" มากินเล่นครับ"
แปลกดีครับ ช่วงนี้เหมือนมีกระแสหาซื้อ "ดินเหนียวรัสเซีย" ผ่านทางช็อปปิ้งออนไลน์มากินเล่นกัน โดยมีการโฆษณากัน ตัวอย่างเช่น "ural clay ดินเหนียวรัสเซีย ดินเหนียวนำเข้า ดินกินได้ ดินคนท้อง รสชาติกรอบหอมมันอร่อย ไม่มีทรายเจือปน 100% เคี้ยวได้สบายใจ มีกลิ่นหอมคล้ายๆ น้ำอบไทย บางชนิด หอมเหมือนดินหลังฝนตก รสชาติคล้ายถั่วลิสงคั่วกรอบๆ หอมมันๆ" ทำเอาหลายคนอยากซื้อมาลองกินบ้าง
ตามข้อมูลที่หาได้ "ดินเหนียว ural clay" นี้ น่าจะมีแหล่งกำเนิดในประเทศคาซักสถาน จากเหมืองดินเหนียวคาซัก (Kazakh clay mill) ทำให้มันมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "Kazakhstani mountain chalk หินชอล์กจากภูเขาในประเทศคาซักสถาน"
ก่อนที่จะนำไปจำหน่ายส่งออกไปประเทศต่างๆ (เช่น ผ่านประเทศรัสเซีย) และพบว่าในบรรดาผู้ที่นิยมกินดินชนิดต่างๆ นั้น ได้แนะนำให้มือใหม่หัดกินดิน เริ่มจากลองกินดินเหนียว ural clay นี้เพราะมันกินง่าย เนื้อแน่น เคี้ยวแล้วแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่กลายเป็นโคลนเหนียวปาก
ก็ไม่แน่ใจว่า ความนิยมในการ "กินดินเหนียว" (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า geophagia จีโอฟาเกีย หรือ geophagy จีโอฟากี้) ทำนองนี้ในประเทศไทยเรา ได้รับอิทธิพลมาจากกระแสในต่างประเทศหรือเปล่า ที่หลายปีก่อน เริ่มมีพวกบิวตี้บล็อกเกอร์บางคนหาดินเหนียว (clay) จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากินโชว์กัน
โดยบล็อกเกอร์พวกนี้อ้างว่า "ดินนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งสุดยอดที่คุณจะกินเข้าไป เพราะระบบย่อยอาหารของร่างกายจะไม่ดูดซับดินเหนียวไป แต่ตัวของดินเหนียว ซึ่งมีประจุเป็นลบ ก็จะไปดูดซับเอาสารพิษ เอาโลหะหนักที่อยู่ในร่างกายของคุณ ออกไปกับอุจจาระที่ขับถ่ายออกมา"
และ "การที่สตรีมีครรภ์บางคน ในบางวัฒนธรรมบางสังคมชนเผ่าพื้นเมือง ชอบกินดินระหว่างที่ตั้งครรภ์ ก็เป็น "การเพิ่มสารอาหาร" เพิ่มแคลเซียม เพิ่มธาตุเหล็ก เข้าสู่ในร่างกายของแม่และเด็กในท้อง"
แนวคิดเช่นนี้ อาจจะมาจากความเชื่อในเรื่อง การใช้ดินโคลนรักษาโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น นำไปใช้รักษาอาการท้องเสีย อาการผิดปรกติบางอย่างของกระเพาะและทางเดินอาหาร การจับสารพิษที่รับเข้าไปผ่านการกิน ฯลฯ
เนื่องจากดินเหนียวสามารถจับกับสารพิษและโลหะหนักที่เป็นพิษบางชนิดได้ และน่าจะช่วยป้องกันไม่ให้สารพิษเหล่านั้นถูกดูดซึมเข้าไปในกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงไปเคลือบผนังลำไส้ไม่ให้เซลล์ได้รับอันตราย แต่ก็ต้องบอกว่า แนวคิดนี้ก็ยังไม่ค่อยจะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนมากนัก ว่าใช้ได้ดีจริง
และถ้ายิ่งอ้างว่า เป็นการกินดินเหนียวเข้าไปเพื่อ "ดูดซับสารพิษจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย" ก็ยิ่งไม่มีหลักฐานสนับสนุนเข้าไปใหญ่ ว่าดินเหนียวที่ถูกกินเข้าไปในระบบทางอาหารเหล่านั้น จะไปสัมผัส ไปทำปฏิกิริยากับสารพิษ โลหะหนัก ฯลฯ ที่สะสมอยู่ในเลือดและในอวัยวะภายในของร่างกายได้อย่างไร
จริงๆ แล้ว ตับและไตของร่างกายเราต่างหาก ที่เป็นตัวกำจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ในร่างกาย ตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่สตรีมีครรภ์ในบางวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมือง กินดินระหว่างที่ตั้งครรภ์เพื่อเสริมสารอาหารนั้น ปัจจุบัน เราก็สามารถเข้าถึงสารอาหารต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้นแล้ว เช่น การดื่มนมเพื่อเสริมแคลเซียม โดยไม่ต้องไปกินดินเหนียว และในทางกลับกัน การที่แม่และทารกในครรภ์กินดินเข้าไปนั้น แม้ว่าจะไม่น่าเป็นอันตรายอะไรถ้ากินเป็นปริมาณน้อยๆ แต่ถ้าเกิดเป็นดินที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น สารหนู ตะกั่ว สารเคมีอื่นๆ ที่อยู่ในดินตามธรรมชาติ ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ (รวมถึงคนทั่วไป ที่กินดินเหนียวเล่นตามกระแสด้วย)
ตามที่วิกิพิเดีย รวบรวมผลกระทบต่อสุขภาพที่มีจากการกินดินนั้น บอกว่า ดินจากแต่ละแหล่งนั้น มีปริมาณของแร่ธาตุแตกต่างกันไป ซึ่งบางแห่งอาจมีปริมาณของแคลเซียม ทองแดง แมกนีเซียม เหล็ก และสังกะสี สูงมาก และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะกับทารกในครรภ์ ที่แม่เกิดอาการอยากกินดินขึ้นมาระหว่างตั้งครรภ์ / การกินดินยังอาจจะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพเนื่องจากการปนเปื้อนของเชื้อโรคและไข่พยาธิ ที่มาจากอุจจาระของคนและสัตว์ ซึ่งหลายชนิดสามารถทนทานอยู่ในดินได้นับปี และทำให้คนที่กินเข้าป่วยหรือติดพยาธิได้ / เชื้อโรคที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือเชื้อบาดทะยัก / มีรายงานถึงอาการเป็นพิษสารตะกั่ว และสังกะสี จากการกินดินเข้าไปเป็นประจำ / นอกจากนี้ ยังมีรายงานถึงหนูทดลองที่ให้กินดินเหนียวเข้าไป แล้วมีอาการผิดปรกติหลายอย่างกับระบบการควบคุมสมดุลย์ของร่างกาย และเกิดความเสียหายขึ้นกับอวัยวะต่างๆ
กล่าวโดยสรุป : สำหรับเรื่องการสั่งซื้อ "ดินเหนียวรัสเซีย" มากินเล่นกันนี้ เข้าใจว่า จะยังไม่ได้มีการตรวจวิเคราะห์จาก อย. หรือหน่วยงานทางสาธารณสุขของไทย ที่จะยืนยันรับรองถึงความปลอดภัย ว่าไม่มีสารเคมี โลหะหนัก หรือแม้แต่เชื้อโรคปนเปื้อน จนสามารถนำมาบริโภคได้อย่างอย่างมั่นใจ
และถึงแม้ว่า การกินดินเพียงเล็กน้อยก็ไม่น่าจะเป็นอันตราย แต่ก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะมากินดินกันครับ (ถ้าจะหาสารอาหารจากดินเหนียวพวกนี้ สู้ไปกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารสูงโดยตรง ดีกว่าครับ)
ป.ล. แถมถึงกรณีของในประเทศไทยเราเอง ก็เคยมีคำเตือนจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนให้ระวังอันตรายจากการกินดินโคลนมาแล้วครับ ว่าอาจจะติดโรคอันตราย อย่างโรคฉี่หนู ได้ครับ
"เตือนกินดิน เสี่ยงตายจากเชื้อปนเปื้อนและโรคติดต่ออันตรายในดิน โคลน น้ำ"
นายแพทย์กิตติ์พงศ์ สัญชาตวิรุฬห์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวว่า จากกรณีโคลนผุดกลางทุ่งนา แล้วชาวบ้านนำดินโคลนไปพอกตัว รักษาโรคปวดเมื่อย พอกหน้า รวมถึงดื่มกิน ตามความเชื่อว่าเป็นโคลนวิเศษ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้นั้น อาจทำให้ติดเชื้อโรคเลปโตสไปโรสิส หรือโรคไข้ฉี่หนู โรคเมลิออยโดสิส และโรคตาแดง ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายถึงชีวิต ไม่ควรนำมาดื่มกินหรือสัมผัสดินโคลน ควรรับประทานอาหารที่สุก ร้อน สะอาด ดื่มน้ำต้มสุก สวมถุงมือยางและรองเท้าบูททุกคร้ัง เมื่อจำเป็นต้องสัมผัส ดิน โคลน น้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน กรมควบคุมโรค 1422