น้ำหวาน ซาซ่า เคลียร์ชัด! สาเหตุเลิก กวาง AB Normal เกิดจากแม่จริงหรือไม่? เผยรู้เรื่องฝ่ายชายขายเรือนหอนานแล้ว
เป็นที่น่าตกใจของแฟนๆอย่างมาก สำหรับคู่รักนักร้องเสียงดี น้ำหวาน พิมรา หรือ น้ำหวาน ซาซ่า กับหนุ่ม กวาง ศิริศิลป์ หรือ กวาง AB Normal ที่เลือกยุติความสัมพันธ์ในฐานะคนรัก และได้กลับมาเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่ยิ่งทำให้ชาวเน็ตสงสัยกันหนักเมื่อหนุ่ม”กวาง“ ได้มีการโพสต์ข้อความ ถึงสาเหตุนั้น เกิดจากความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงภายในครอบครัวของฝ่ายหญิง ที่ทำเอาตนเองทนไม่ไหวอีกต่อไป
“น้ำหวาน ซาซ่า” ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะเลิกลากับทาง “กวาง AB normal” โดยเจ้าตัวเผยว่า ตนก็ขอไม่ลงรายละเอียด มันเป็นปัญหาของคนสองคนที่แก้กันไม่ได้ มันเหมือนการวิ่งที่ออกตัวมาด้วยกัน แต่เพื่อนของเรา เขาเหนื่อย ถ้าเราอยากได้เหรียญทองก็ต้องลากเพื่อนไปด้วยให้จบ อันนั้นคือการรักตัวเอง ถ้าเรารักเขาแค่เห็นหน้าเราก็รู้แล้ว เราก็ต้องให้เขาพัก ความรู้สึกเขาสำคัญกว่า ทั้งคู่ก็ผ่านอะไรกันมาเยอะมาก ตลอดหลายปีที่คบกัน ตั้งแต่วันแรก ก็สู้กันมาจนปัจจุบันนี้ จุดเหนื่อยของคนเราไม่เท่ากัน ตนก็รู้สึกว่าตัวเองวิ่งต่อได้ แต่พลังของเขาอาจจะวิ่งไปต่อไม่ได้ เราต้องเข้าใจ ความอดทนของคนเราไม่เท่ากัน
ในส่วนของการยุติความสัมพันธ์ในครั้งนี้ ตนก็ได้คุยกันต่อหน้า ที่โพสต์แค่หนึ่งวัน เท่านั้น และมันคงเป็นปัญหาที่ถูกสะสมมาและได้รับการระบายออกแล้ว เพียงแต่ว่า มันอาจจะเป็นจุดที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเล็กนิดเดียว แค่ความรู้สึกอาจจะใหญ่ ตนมีการคุยกันอยู่สองวัน แต่เลิกกันด้วยดี
นึกถึงจุดที่ต้องเลิกกันแบบนี้ไหมตนบอกว่า ไม่มีใครคิด แฟนกันปกติก็ไม่ได้ และยิ่งมีเป้าหมายจะแต่งงานกันยิ่งไม่คิดเลย ช่วงที่คบกันก็มีทะเลาะจุกจิกบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถึงกับจะเลิกกันไปจริงๆ และถ้าถามว่าตนสู้ได้อีกไหม ตนสู้ได้ แต่ก็ต้องดูเพื่อนร่วมทางของเราด้วยว่าเค้าไหวไหม คำว่าเลิกเลยในความสัมพันธ์ของเราพูดกันน้อยมาก เมื่อก่อนอาจจะพูดด้วยอารมณ์ ตอนที่มีปัญหากัน กลับมาดีกันด้วยการคุยกัน แต่ที่รอบนี้ ไม่สามารถกลับมาได้เพราะปัญหาอาจจะมีความใหญ่และเล็กต่างกัน ซึ่งถึงขั้นเลิกลาได้เพราะอาจจะเป็นปัญหาที่มองกันไม่เห็นทางออก เราก็ผ่านการแก้การปรับมา ถ้ามันเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นได้ ปัญหาที่เกิดก่อนหน้านี้เราจะเคลียร์กันสองคนทุกครั้ง แต่ว่าปัญหาอื่นๆ ตนเป็นคนกลางตนไม่สามารถแก้ได้ทุกอย่าง ถ้าปัญหามันเล็กจนแก้ได้ ปัญหาใหญ่อาจจะต้องอาศัยมืออื่นในการช่วย
อย่างที่ทาง“กวาง”โพสต์ถึงความสัมพันธ์ว่ามีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง คือแม่ของตน ตรงนี้ ตนก็บอกว่า ตนขออนุญาตที่จะไม่ลงดีแทล เพราะเป็นเรื่องของปัญหาในครอบครัวและปัญหาส่วนตัว ใจตนก็ไม่ได้อยากให้ใครรู้ ว่าปัญหาพวกนี้ต้องมานั่งพูด ให้มันลึกลับซับซ้อนหรือบานปลาย ไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นกับตน ตนตั้งใจแค่จะบอกแค่ว่ามีปัญหาที่ไม่สามารถแก้กันได้ เราไม่ได้โกหก แต่ตั้งใจที่จะบอกแค่ประมาณหนึ่ง เพราะการพูดปัญหาไม่ได้ส่งผลแค่คนหรือสองคนแต่มันส่งผล คนอื่นด้วย ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวตนก็อยากเก็บไว้ให้มันเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แต่พอมันเป็นแบบนี้แล้วหน้าที่ของตนก็ต้องรับผิดชอบ ว่ามันแก้ไขไม่ได้
ทาง“พี่กวาง”พูดว่ามีการไปไหนมาไหนด้วยกัน 3 คน ตนบอกว่า ตอนกับ“พี่กวาง” ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะมากภายในเวลา 24 ชม. ของตน ตนพยายามที่จะจัดสรรให้ได้ดีที่สุด สำหรับทุกคน เมื่อเสร็จงานก็ไปหา“พี่กวาง” พอทำงานก็คิดว่าทิ้งแม่ไว้แม่จะเหงาหรือเปล่า ตนก็ถาม“พี่กวาง”ตกลงว่าชวนแม่มาด้วยไหม “พี่กวาง”ก็ตกลงตลอด ทุกครั้งพี่เขาแทบจะออกปากชวนตลอด และไม่ใช่แค่แม่ยังมีเพื่อนเขาที่เราพากันไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดอยู่แล้ว มีทริปหนึ่งที่ตนไปดำน้ำ มีคอมเมนต์ถามว่าทำไมไม่ไปกันสองคน พาแม่เขาเฝ้าด้วย ซึ่งทริปนั้นไปกัน 6 คน แม่ได้ไปเฝ้า พอไปดำน้ำเสร็จเขาก็กลับห้อง เขาไม่ได้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ เพราะถ้าเจตนาไม่ดีเขาคงให้เลิกไปแล้ว แทบจะเข้าข้าง“พี่กวาง”ด้วยซ้ำ เวลาทะเลาะกัน
ตอนนี้หลายคนมองว่าคุณแม่ทำให้ความรักทั้ง 2 คนจบลง จนก็อยากจะบอกว่า ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ตนเชื่อว่า คนอื่นไม่มีผลขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องมือที่สาม ตนก็ไม่โทษใคร ขอโทษตัวเอง
ส่วนทางที่”พี่กวาง“โพสต์ถึงครอบครัวด้วย เป็นปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ไหม ตนบอกว่า ตอนที่เขาโพสต์ตนก็บอกให้เขาลบเพราะรู้สึกว่า คนอื่นไม่ได้ทำงานเหมือนเราก็ไม่ควรได้รับผลกระทบ แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจแบบนั้นก็เคารพตัวเขา
ด้านประเด็นเรื่องนักศึกษามือที่สาม ตนบอกว่าเขาได้เคลียร์ในส่วนของนักศึกษาและเชื่อว่าผ่านการพิจารณาจากตัวเขามาอย่างดีอยู่แล้ว ตนแค่แคปให้เขาดูเฉยๆ ว่าตนกำลังโดนทุกทาง ไม่อยากให้เอาเรื่องนี้ มาเป็นประเด็นแล้วก็มารวมเพราะเราเลิกกันโดยไม่ได้มีมือที่สามทั้งคู่ เพียงแต่ว่า อารมณ์ตอนนั้นพอเรารับอะไรมาเยอะๆ ตนก็ได้ขอโทษเขาไปแล้วและไม่ควรไปคิดแบบนั้นกับเขา ตนรู้จักเขาดีมากกว่าใคร ซึ่งวันที่บอกเลิก มองหน้ากันก็รู้ว่าจะถึงจุดที่ต่างคนต้องต่างยกระดับความสัมพันธ์ ลดปัญหาตรงนี้ แต่ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ดีกว่ามาฟาดกันเอง
ถามถึง ณ ตอนนั้นตอนที่ตัดสินใจเลิกกัน คิดว่าจะกลับมาหากันอีกไหม ตนบอกว่า แน่นอน เพราะตนก็ไม่คิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย คิดว่าน่าจะมีทางแก้ เพราะตัวเรายังไหว
ล่าสุดทาง“กวาง”มีการประกาศขายเรือนหอ ใจหายไหม ตนบอกว่า ตนเข้าใจเพราะมีคนมาถามตนเยอะมากซึ่งต้องบอกก่อนว่าเรือนหอนี้เขาตั้งใจจะขายมานานแล้ว ก่อนที่จะเลิกกันอีก เพียงแต่ว่าหลายคนไม่ทราบ พอเรื่องนี้คุณก็เลยจับโยงว่าจะ ขายเพราะว่าเลิกกันแต่จริงๆมันไม่ใช่ประเด็นนี้ ส่วนสาเหตุการขายก็อยากให้เขาตอบ ไม่มีการคุยกับเขาเลย เพราะตนทราบอยู่แล้วว่าเขาจะขายไม่ได้มีการตกใจอะไร คิดไว้อยู่แล้วว่าคุณจะต้องเอาเรื่องนี้มาจับโยง บ้านหลังนี้เป็นบ้านของทาง“พี่กวาง” ไม่ได้มีการซื้อร่วมกัน
ส่วนที่ตนเป็นคนกลางในการแก้ปัญหาตลอดตนบอกว่า เป็นคนกลางเหนื่อยแต่ว่าปกติ เขาดีกันและก็รักกันดี แต่ถ้าเกิดเขามีทัศนคติที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องบางประการเราก็ต้องทำ เพราะอีกคนเป็นแม่อีกคนก็เป็นแฟน เวลาตนสัมภาษณ์อะไรทุกวันนี้มันไม่สามารถที่จะแตะประเด็นอะไรได้เลย นั่นคือความรู้สึกของคนที่ตนแคร์มากที่สุดทั้งสองคน บางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ
มีประโยคหนึ่งที่เขาได้บอกว่าเขายังรักตนอยู่ ตนบอกว่าความรู้สึกดีมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กันใน 10 วัน ตนก็มีความรู้สึกดีและปรารถนาดีให้เขาอยู่เสมอ ตนรู้จักเขาดีมากๆ อาจจะไม่ได้คุยกันบ่อยในแง่ของจิตใจ
ถามถึงความสัมพันธ์ถ้าไม่มีบุคคลที่สามเกี่ยวข้องคิดว่าความสัมพันธ์จะไปต่อไหม ตนก็บอกว่า ทางคุณแม่ไม่ได้ยุ่งตั้งแต่ตน เพราะฉะนั้นอาจจะมีบ้างที่เขาหวง ห่วงลูกสาวก็เป็นไปได้ ตนสามารถขออะไรก็ได้แต่บ้านก็มีกฎที่ทางครอบครัวขอเอาไว้ ที่ทุกคนในบ้านต้องทำตามไม่ใช่เป็นกฎที่ทางในบ้านตั้งมาเพื่อพี่กวางคนเดียวแต่เขาตั้งมานานมานานแล้ว สำหรับเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่น้ำผึ้งหยดเดียว แต่ถ้าวันนี้เรื่องนั้นเป็นเรื่องใหญ่ในความรู้สึกเขา เราก็ต้องเคารพ ความคิดของเขา ส่วนทาง“พี่กวาง”กับคุณแม่จะมีโอกาสปรับความเข้าใจกันไหมนั้นก็ให้ เป็นเรื่องอนาคต สุดท้ายตนก็บอกว่ายัง ปรารถนาดี และรู้สึกดีพร้อมซัพพอร์ตกันตลอดไป ไม่ว่าจะฐานะอะไร ต่างคนต่างมูฟออนไปแล้วตนก็ยังพร้อมที่จะหวังดีกับเขาต่อไป แต่ก็ต้องมีขอบเขตระหว่างคนข้างข้างของแต่ละคนด้วยในอนาคต