ย้อนรอยคดีดัง จงใจแพร่เชื้อ HIV ผิดกฎหมายหรือไม่ หลังสาวโพสต์สารภาพบาป

5 พ.ย. 66

ย้อนรอยคดีดัง อาชญากรข้ามชาติ จงใจแพร่เชื้อ HIV ให้ผู้อื่นโดยเจตนาผิดกฎหมายหรือไม่ หลังชาวเน็ตสงสัยกรณีนักศึกษา one night stand 7 เดือน

จากกรณีของนักศึกษามหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง โพสต์ข้อความสารภาพผิด หลังตนเองได้ไปเที่ยวสถานบันเทิงและจบด้วย one night stand กับผู้ชายมาแล้วกว่า 7 เดือน โดยที่ตัวเธอนั้นระบุเอาไว้ว่าเธอป่วย HIV แต่กำเนิด และไปเที่ยวเพราะอกหักตอนนี้รู้สึกผิดมาก เป็นห่วง อยากให้ทุกคนไปตรวจ พร้อมเธอบอกให้ "อโหสิกรรม" ให้เธอด้วย 

 

ภายหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวของเธอถูกเผยแพร่สู่โลกออนไลน์ก็ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก ถึงพฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม พร้อมกับบางส่วนยังได้ตั้งข้อสงสัยว่า การกระทำของเธอนั้นผิดกฎหมาย หรือสามารถถูกดำเนอนคดีตามกฎหมายได้หรือไม่

ย้อนไปเมื่อปี 2560 มีคดีของชาวต่างชาติรายหนึ่งซึ่งจงใจแพร่เชื้อ HIV สู่ผู้อื่น ทั้งชายและหญิง อีกทั้งยังพยายามก่อคดีกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีอีกด้วย โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีตำรวจทำการจับกุม นายเซเดนิก ไฟยเฟอร์ อายุ 50 ปี สัญชาติเช็ก ในฐานะเป็นอาชญากรข้ามชาติ ก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศ

นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เชื้อเอชไอวีไม่ได้ติดต่อกันง่ายๆ สามารถติดต่อได้แค่ 3 ช่องทางหลัก คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก

นพ.สุเมธ องค์วรรณดี กล่าวว่า สำหรับคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายคนดังกล่าว หากเพิ่งมีเพศสัมพันธ์ภายใน 1 - 2 วันนี้ สามารถไปพบแพทย์เพื่อแจ้งการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งแพทย์จะจ่ายยาเพร็พ (Prep) ให้กิน ซึ่งยานี้จะต้องกินภายใน 24 - 48 ชั่วโมง ภายหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย กินต่อเนื่อง 28 วัน จากนั้นจึงควรตรวจเลือดว่ามีเชื้อหรือไม่ หากไม่มีก็สามารถหยุดกินยาได้ ซึ่งยาตัวนี้เป้นยาตัวเดียวกับที่เวลาบุคลากรทางการแพทย์เกิดอุบัติเหตุถูกเข็มตำ หรือกรณีถูกข่มขืน ซึ่งจะได้รับยานี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม หากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่ได้ป้องกัน ก็ขอให้ไปทำการตรวจหาการติดเชื้อ ซึ่งทุกคนมีสิทธิตรวจฟรีปีละ 2 ครั้งที่โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง ซึ่งสามารถทราบผลได้ในวันเดียว และหากมีการติดเชื้อก็จะได้รับยาต้านไวรัสฟรีตามสิทธิ

นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ กล่าวว่า พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ไม่ครอบคลุมเอาผิดผู้ติดเชื้อรายนี้ เพราะจะครอบคลุมในเรื่องของโรคติดต่อเฉียบพลัน อย่างกรณีโรคเมอร์ส หรือโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หากผู้ป่วยจงใจแพร่เชื้อให้แพทย์ แบบนี้เอาผิดได้ แต่กรณีผู้แพร่เชื้อเอชไอวี ไม่เคยมีมาก่อน

นอกจากนี้เว็บไซต์ hivnorge ยังได้ระบุข้อมูลเอาไว้ว่า ท่านไม่มีหน้าที่ในการให้ข้อมูลใด ๆ ว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี (hiv) แต่กระนั้นเรายังคงแนะนำให้ท่านเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป/แพทย์ประจำตัวของท่าน (fastlege) ทราบ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แพทย์สามารถดำเนินการติดตามสุขภาวะของท่าน ว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการรักษาอื่นใดที่ท่านได้รับอยู่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของยารักษาโรคเชื้อเอชไอวี (hiv) ที่ท่านได้รับ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือแพทย์ควรทราบว่าคนไข้ของตนเป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อเอชไอวี (hiv)

กฎหมายอาญามาตรา ๒๓๗ บัญญัติเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโรคที่เป็นโรคติดต่ออันตรายระหว่างมนุษย์ เนื้อหาในมาตรานี้กล่าวถึงการแพร่เชื้อและการทำให้ผู้อื่นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่ในที่นี่หมายถึงการแพร่กระจายเฉพาะเชื้อที่มีอันตรายเท่านั้น การทำให้ผู้อื่นติดเชื้อเอชไอวี (hiv) จึงเป็นส่วนหนึ่งซึ่งถูกกำหนดไว้ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายในมาตรานี้ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีข้อยกเว้นหลายประการ

  • หากผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาที่ประสบผลสำเร็จ จะทำให้ผู้ติดเชื้อไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น หรือหากผู้ติดเชื้อได้กระทำการทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่เชื้อในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ ผู้ติดเชื้อจึงควรได้รับการยกเว้นจากการลงโทษ นั่นก็หมายความว่าผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเชื้อเอชไอวี (hiv) ซึ่งได้เข้ารับการรักษา หรือใช้ถุงยางอนามัย จึงไม่สมควรที่จะถูกลงโทษ  
  • ผู้ติดเชื้อไม่สามารถถูกลงโทษในความผิดที่ว่าได้ทำการแพร่เชื้อหรือทำให้คู่นอนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากคู่นอนได้รับทราบและให้ความยินยอมไว้ก่อนหน้าแล้วว่าตนอาจมีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อ ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้ติดเชื้อมีหน้าที่ที่จะต้องแจ้งให้ทราบถึงสภาพการติดเชื้อของตน และผู้ติดเชื้อไม่สมควรจะถูกลงโทษหากว่าได้แจ้งให้คู่นอนทราบแล้วเป็นการล่วงหน้า แต่คู่นอนก็ยังคงเลือกที่จะ “ทำให้ตนตกอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ” ในทางกลับกันหากผู้ติดเชื้อไม่เข้ารับการรักษา และไม่กระทำการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อดำรงไว้ซึ่งมาตรการในการป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ติดเชื้อก็สามารถถูกลงโทษได้เช่นกัน หากว่าผู้ติดเชื้อไม่แจ้งให้คู่นอนของตนทราบ ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีการแพร่เชื้อเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม
  • การยกเว้นโทษยังรวมไปถึงการติดเชื้อจากผู้ขายบริการทางเพศ การใช้เข็มฉีดยาของผู้ใช้สารเสพติด และการแพร่กระจายของเชื้อจากมารดาสู่บุตร

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม