ร้องโดนเซียนพระดังหลอกลงทุน เช่าพระเครื่อง เสียหายกว่า 20 ล้าน

22 ธ.ค. 66

แห่แจ้งกองปราบฯโดน เฮียหมี เซียนพระดังหลอกลงทุน เล่นแชร์ เช่าพระเครื่อง เสียหายกว่า 20 ล้านบาท

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ธ.ค.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พหลโยธิน จอมพล จตุจักร กทม.จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ อดีต สห.ทอ.พาผู้เสียหายเข้าพบ ร.ต.อ.ทรงวุฒิ นิยมพงษ์ รอง.สว.(สอบสวน) กก.2.บก.ป.แจ้งความเอาผิดเซียนพระชื่อดัง และเป็นลูกชายอดีตนายกเทศมนตรีตำบลหนึ่งในบ้านโป่ง นอกจากนี้ยังแอบอ้างตัวเป็นพี่ชายทหารยศใหญ่หลอกลวงฉ้อโกงเงิน ด้วยการชักชวนให้ลงทุนในธุรกิจ ซื้อขายรถยนต์มือสอง ธุรกิจบ่อดิน ธุรกิจขายสีตีเส้นจราจร ทำถนน และอื่นๆมารู้ทีหลัง ธุรกิจทิพย์ หลายรายโดนหลอกซื้อขายพระเครื่องหลวงปู่หลิว

นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี หนึ่งในผู้เสียหายเปิดเผยว่า ตนโดนเฮียหมี หลอกเงินร่วมลงทุนพระเครื่อง ตนแจ้งความไว้แล้ว 2 ปี ที่ สภ.บ้านแพ้ว แต่คดีไม่มีความคืบหน้า และบุคคลนี้เป็นผู้มีอิทธิพลแถวบ้านโป่ง เคยลงสมัครนายกเทศมนตรีของอำเภอบ้านโป่ง โดยอ้างว่ามีพี่ชายเป็นนายทหารใหญ่ โดยพฤติการณ์ของเขาคือ หลอกให้ตนเอาเงินไปร่วมลงทุน เช่าหลวงปู่หลิวเนื้อเงิน และจะเอาพระไปปล่อยต่อ เพื่อเอาเงินมาแบ่งกันแต่สุดท้ายตนก็โดนเชิดเงินไม่ได้เงินกลับมาเลย และพระที่บอกจะเอามาให้ร่วมลงทุน ตนไปสืบทราบมาว่าพระไม่มีอยู่จริง เขาแค่เอารูปมาแอบอ้างให้เราหลงเชื่อ และรวมลงทุนพระเครื่องกับเขา

ด้านนางแป้ง (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี เจ้าของธุรกิจสปา และ ร้านอาหาร รวมทั้งเป็นเท้าแชร์ เปิดเผยว่าความเสียหายของตนเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน พฤติการณ์คือ บุคคลนี้จะทำท่ามาตีสนิทกับตนโอ้อวดว่าเป็นคนรวยมีเงิน แล้วมาชักชวนให้ตนไปเล่นแชร์กับเขา แล้วเขาก็มาขอยืมเงินตน 3 แสนบาท แล้วก็อ้างว่าจะคืนเงินให้ โดยขู่ว่าห้ามไม่ขึ้นเช็ค ห้ามไปบอกคนอื่น ถึงจะแจ้งความไปก็ไม่มีประโยชน์อ้างว่าเขามีพี่ชายทหารยศใหญ่ โดยตนก็ทนไม่ไหวเลยรีบไปขึ้นเช็คแจ้งความที่ สน.ประเวศ จนผ่านมา 2 ปีแล้ว โดยตนเสียหาย ยอดทั้งหมดทั้งหลอกเล่นแชร์และยืมเงิน 1.8 ล้านบาท

นางแนนซี อายุ 40 ปี ผู้เสียหายรายที่ 3 อยู่เยอรมัน เปิดเผยว่า รู้จักเฮียหมีผ่านเฟซบุ๊ก โดยการติดต่อเช่าพระเครื่องหลวงปู่หลิว จากนั้นเฮียหมี ได้ชักชวนให้ลงทุนด้วยเป็นธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจบ่อดิน ธุรกิจขายสีตีเส้นจราจร ทำถนน โอนเงินมาร่วมลงทุนด้วยหลายครั้ง ตอนแรกๆก็แบ่งผลกำไร แต่มาภายหลังไม่มีกำไร แถมเชิดเงินต้นทุนทั้งหมดก่อนจะติดต่อไม่ได้ ตนจึงได้มารู้ว่าโดนหลอก และเขาก็ใช้อุบาย เหมือนกับเคสรายอื่นๆ ว่า เขามีอิทธิพลในพื้นที่ จึงไม่รู้จะทำยังไง ตนอยากได้เงินคืน มูลค่าความเสียหายรวม 4 ล้านบาท

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แยกสอบปากคำผู้เสียหาย พบว่าเกิดเหตุหลายท้องที่ และมีการแจ้งความท้องที่เกิดเหตุแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นรายเดียวกันหมด ก่อนจะประสานให้พนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุเร่งรัดคดีเรียกผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส