หลังจากที่รายการคลายทุกข์ชาวบ้าน ออกอากาศทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 18.45 น.ได้นำเสนอเรื่องราวของนายธนบดี จิตตา ผู้เสียหายที่ทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์ ถูกกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจอุ้มไปทำร้ายร่างกาย พร้อมปล้นทรัพย์สูญไปกว่า 3 ล้านบาท และถูกทำร้ายร่างกาย จนเรื่องราวผ่านมาถึง 3 วัน กลุ่มคนร้ายยังไม่ถูกจับกุมตัว แม้ทางเจ้าหน้าที่จะทราบชื่อแล้วก็ตาม
ล่าสุด (1 ส.ค.)
นายธนบดี จิตตา ผู้เสียหาย ได้มาเปิดเผยเรื่องราว ผ่านรายการต่างคนต่างคิด เวลา 18.45 น. ว่า ปกติแล้วตนทำธุรกิจซื้อขายรถยนต์ โดยมีกลุ่มไลน์ที่เป็นกลุ่มคุยเรื่องรถ ในกลุ่มดังกล่าวมีคนที่ชื่อนายมาร์ค (นามสมมติ) อยู่ ยอมรับว่ารู้จักกับนายมาร์คมาได้สักระยะหนึ่ง มีโอกาสนัดเจอพูดคุยเรื่องรถบ่อยครั้ง เวลาที่เจอกันนายมาร์คก็ชอบถามถึงราคาทรัพย์สินว่าราคาเท่าไร ซึ่งตนก็บอกว่าหลายล้าน และไม่ได้นึกสงสัยอะไร ก่อนหน้านี้ตนกับนายมาร์ค เคยมีคดีฟ้องร้องกันมาก่อน เนื่องจากตนเคยซื้อรถยนต์ของนายมาร์ค โดยมีการจ่ายเงิน และโอนรถเรียบร้อย แต่นายมาร์คกลับไม่พอใจในส่วนของราคา จึงมีการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้เสียหายฐานยักยอกทรัพย์
จนมาเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.30 น. นายมาร์ค ได้ชักชวนตนไปพูดคุยเรื่องรถกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หลังจากที่เจอกันนายมาร์คก็ได้ยืนคุยกันตนสักพัก จู่ๆก็มีบุคคลที่แสดงตัวว่าเป็นตำรวจชุดเฉพาะกิจ 5 คน เข้ามาประชิดตัว และใส่กุญแจมือ พร้อมปิดตา ก่อนที่จะดึงเข้าไปภายในรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ ระหว่างทางที่ขับไป ก็มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น หากถามว่านายมาร์ค และกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจรู้จักกันหรือไม่ ตนคิดว่าน่าจะรู้จักกันเพราะเวลามีการพูดคุยก็มักจะจอดรถลงไปคุยข้างทาง ซึ่งตนไม่ทราบว่าพูดคุยอะไรกัน
จากนั้นกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจได้บอกว่าจะพาไปฆ่าทิ้งที่จังหวัดประจวบฯ และถามว่ารถตนจอดอยู่ที่ไหน ตนยอมรับว่าขณะนั้นมีไหวพริบ จึงคิดว่า "ถ้าผมถูกฆ่า และพ่อแม่ตามหา ถ้าเข้าแจ้งความก็ต้องมีกล้องวงจรปิด หรือมีหลักฐานในการตามหา จึงบอกว่าทรัพย์สินตนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ของพี่สาว แถวสายไหม" และได้ทรัพย์สินไปมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ทางกลุ่มคนร้ายก็ยังไม่พอใจอยากได้ทรัพย์สินเพิ่ม ตนจึงพาไปที่บ้านของพี่ชายแถวเพชรเกษม และออกอุบายว่าถ้าจะให้เปิดประตูบ้านต้องเอากุญแจมือออก จึงอาศัยช่วงจังหวะนั้นวิ่งหนี ซึ่งมีพลเมืองดีพาไปส่งที่สน.บางเสาธง ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน และส่งตัวไปสน.ห้วยขวาง เพื่อเข้าแจ้งความ
ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ถ้าได้รับของคืนทั้งหมดอยากให้ผู้เสียหายถอนแจ้งความได้หรือไม่ ตำรวจพยายามให้ยอมความ แต่ตนก็จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด และหากถามว่าเหตุการณ์นี้จะเชื่อมโยงกับคดีความเก่าหรือไม่นั้น บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มีการแสดงหมายจับแต่อย่างใด
ทางด้าน
ทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวหากบุคคลที่เข้ามาอุ้มตัว และพาไปยังเคหะสถานเพื่อเอาทรัพย์และทำร้ายร่างกายนั้น ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพาไปที่โรงพักได้เพียงอย่างเดียว และตามกฎหมายคดีดังกล่าวมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย , บุกรุกเคหะสถาน และปล้นทรัพย์ ซึ่งคดีดังกล่าวไม่สามารถยอมความได้ และต้องมีการตรวจสอบว่ากลุ่มคนดังกล่าวคือใคร พร้อมจะนำเรื่องดังกล่าวเรียนไปยังนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เพื่อให้ติดตามคดีดังกล่าว
ขณะที่
ร.ต.ท.ภุชงค์ เม้าทุ่ง พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เปิดเผยว่า เบื้องต้นยังไม่ได้ทำการออกหมายจับทางกลุ่มคนร้าย แต่ได้ทำการออกหมายเรียก ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ พร้อมกับจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ขณะนี้ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทางผู้เสียหายได้นำมาส่งมอบให้ และจะมีการขยายผลต่อไป ส่วนทางกลุ่มคนร้ายได้บอกกับตนเบื้องต้นว่า ในวันดังกล่าวได้นำหมายจับไปให้ทางคุณธนบดี ในฐานยักยอกทรัพย์ของทางศาลแขวงพระนครเหนือ แต่ก็จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลต่อไป