ผกก.ห้วยขวาง โต้ กรณีที่ชาวญี่ปุ่นทวิตข้อความถูกแท็กซี่ใช้อาวุธมีดไล่ฟัน แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ ยืนยันไม่เป็นความจริง
เมื่อเวลา 10.00 น.( 8 ก.พ.67) พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง แจง ถึงกรณีชาวญี่ปุ่นโพสต์เล่าประสบการณ์ปฏิเสธแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ก่อนถูกคนขับควักมีดไล่แทง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา แต่ทาง สน.ไม่รับแจ้งความ
โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20:00 น. โดยมีชาวญี่ปุ่น 2 ราย หนึ่งในนั้นคือชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานและเป็นผู้ลงทวิตเตอร์ ได้เรียกแท็กซี่จากบริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์เพื่อตรงไปยังร้านอาหารในซอยรัชดาภิเษก 3
ต่อมาปรากฏว่าเมื่อนั่งในรถแล้ว แท็กซี่คันดังกล่าวไม่กดมิเตอร์และเรียกค่าโดยสาร 150 บาท ทั้งๆที่ระยะทางไม่ห่างกันมาก จึงทำให้ผู้เสียหายไม่พอใจ ตัดสินใจลงจากรถ ปรากฏว่าถูกคนขับแท็กซี่คันดังกล่าวพูดจาต่อว่าและวิ่งมาทำร้ายร่างกาย โดยใช้เท้าเตะที่ผู้เสียหาย 1 ครั้ง แต่ผู้เสียหายหลบได้ทัน จึงโดนแค่ข้อมือเล็กน้อย หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปพฤติกรรมของแท็กซี่คนดังกล่าว
ปรากฏว่าแท็กซี่คนนี้ได้กลับไปที่รถเพื่อหยิบอาวุธมีดแล้ววิ่งปรี่มาจะทำร้ายร่างกายอีกครั้ง ผู้เสียหายจึงพยายามที่จะวิ่งหลบหนี แต่เมื่อหันกลับไปก็ปรากฏว่าแท็กซี่คนนี้ขับรถออกไปแล้ว
หลังเกิดเหตุแฟนของผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคนไทยได้ inbox แจ้งเรื่องราวมายังเพจของ สน.ห้วยขวาง เมื่อเวลาประมาณสามทุ่มในคืนวันเดียวกัน แต่ทว่าทางแฟนของผู้เสียหายไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้ ทางตำรวจพยายามที่จะติดต่อผ่าน inbox กลับไปก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวน สน.ห้วยขวาง เร่งรัดในการทำงานหาข้อเท็จจริงถึงกรณีที่เกิดขึ้น
ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ก็สามารถติดต่อแฟนของผู้เสียหายได้ จึงได้แจ้งให้ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาแจ้งความและชาวญี่ปุ่นคนดังกล่าวก็ได้เข้าแจ้งความในเย็นของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ชุดสืบสวน สน ห้วยขวาง ก็ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถ จนสามารถแกะรอยพิสูจน์ทราบคนขับรถแท็กซี่ผู้ก่อเหตุได้ พบว่าเป็นชายอายุ 72 ปี จึงได้แจ้งให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนในเย็นวันที่ 6 กุมภาพัน ธ์เช่นเดียวกัน โดยคนขับแท็กซี่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพอ้างว่า เกิดจากชาวญี่ปุ่นผู้เสียหายปิดประตูรถอย่างแรง จึงทำให้เกิดอาการไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าในคืนก่อเหตุ ไม่ได้เสพสารเสพติดหรือเมาสุรา ทั้งนี้ในระหว่างสอบปากคำนั้น คนขับแท็กซี่ผู้ก่อเหตุมีอาการปกติ ไม่พบสารเสพติดหรือเมาสุราแต่อย่างใดและยังยอมรับว่าเป็นคนมีอารมณ์ที่ฉุนเฉียว ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้
พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหา 4 ข้อหากับคนขับแท็กซี่ได้แก่ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นแต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวด้วยการ กรรโชกขู่เข็น พกพาอาวุธมีดไปที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งได้ส่งฟ้องยังศาลแขวงพระนครเหนือแล้วเมื่อวานนี้
ทางศาลแขวงพระนครเหนือได้มีคำพิพากษาในข้อหาทำร้ายร่างกายและทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว จำคุก 1 เดือนปรับ 5,000 บาท แต่เนื่องจากผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงลดโทษจำคุกเหลือ 15 วัน ปรับ 2,500 บาท ส่วนข้อหาพกพาอาวุธมีด ปรับ 500 บาท รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 15 วัน ปรับ 3,000 บาท แต่จากการที่ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ จึงให้รอลงอาญา 1 ปี
ส่วนข้อหาเก็บค่าโดยสารเกินอัตราที่กำหนด ทางพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับเป็นพินัยจำนวน 1,000 บาท และได้ทำหนังสือแจ้งไปยังนายทะเบียนขนส่ง กรมการขนส่งทางบก เพื่อพิจารณาให้พักใบอนุญาตขับขี่รถโดยสารสาธารณะและพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถโดยสารสาธารณะต่อไป
พ.ต.อ.ประสพโชค ยังชี้แจงข้อเท็จจริงอีกว่า จากกรณีที่มีสื่อบางสำนักนำเสนอข่าวกล่าวหาว่า ตำรวจไม่รับแจ้งความนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะจากข้อเท็จจริงที่ชี้แจงไปข้างต้น พบว่าผู้เสียหายได้ติดต่อกับพนักงานสอบสวนผ่านทาง inbox แต่ไม่ได้ทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ จึงทำให้ทางพนักงานสอบสวนร่วมกับชุดสืบสวนของ สน.ห้วยขวาง เร่งรัดในการติดต่อให้ผู้เสียหายมาแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจ รวมทั้งเร่งรัดในการทำงานจนสามารถพิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำความผิดได้ จึงเน้นย้ำว่า คดีนี้นั้น ทางตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ตั้งแต่ที่ได้รับแจ้งเหตุ ไม่ได้ไม่รับแจ้งความตามที่สื่อบางสำนักได้นำเสนอไป
จึงอยากฝากถึงสื่อมวลชนว่า หากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นตามสื่อสังคมออนไลน์ โปรดโทรเช็คไปยังท้องที่สถานีตำรวจที่เกิดเหตุนั้นๆก่อน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง มิใช่เขียนข่าวให้ร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจเสื่อมเสียและการเป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นความจริง.