ด่วน! ศาลยกฟ้อง "หมอวรงค์" คดีหมิ่นประมาท "ธนาธร"

12 มี.ค. 67

ด่วน ศาลยกฟ้อง หมิ่นประมาท “หมอวรงค์” คดีที่ “ธนาธร” ฟ้องหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายกว่า 24 ล้าน ยันแสดงความคิดเห็นบนหลักการ เหน็บฟ้องปิดปากปชช. ไม่ใช่เป็นนักประชาธิปไตยของจริง

วันที่ 12 มี.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญานัดพิพากษาคดี คดีดำอ.280/2564 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์  เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท โดยศาลมีคำสั่งยกฟ้อง นพ.วรงค์

ซึ่งนพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ระบุว่า คดีดังกล่าวมีที่มาที่ไป จากการที่ตนเองประกาศตั้งพรรคไทยภักดี เพื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล รวมถึงต่อสู้กับคณะก้าวหน้า และม็อบ 3 นิ้ว ที่มีการพาดพิงถึงขบวนการล้มล้างการปกครอง นำไปสู่การฟ้องร้องถึง 2 คดี โดยคดีแรกเป็นกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เป็นผู้ฟ้องร้องตนเอง ในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนคดีนี้ คือคดีที่นายธนาธร ฟ้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน เนื่องจากคดีนี้มาจากเหตุการณ์เดียวกันแต่มีการแยกฟ้องคดี

สำหรับคดีที่นายพิธา หรือพรรคก้าวไกล ผู้ฟ้องร้องตน ศาลได้พิพากษายกฟ้องว่าตนเองว่าไม่ได้มีการหมิ่นประมาท โดยทราบภายหลังว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาจากศาลอย่างไร ยืนยันว่า ในการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการต่อสู้ในข้อเท็จจริง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทราบว่าศาลได้ยกคำร้องในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนการล้มล้างการปกครองเป็นประเด็นที่ใหญ่ ที่มีการสืบพยานมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อมโยงไปถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งตนชนะคดี และศาลตัดคดีส่วนตัวที่เกี่ยวกับนายธนาธร ศาลตัดออก จึงเหลือประเด็นแค่ที่ตนเองกล่าวหาว่า นายธนาธรจะถูกดำเนินคดีมาตรา 112

นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนเองเชื่อมั่นในข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ตนก็ได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจริง และตนได้เป็นพยานในการเบิกความด้วย แต่ศาลจะตัดสินอย่างไร อีกไม่นานก็คงรู้คำตอบ

นพ.วรงค์ ยังฝากถึงสังคมด้วยว่า การฟ้องร้องของนายธนาธรได้เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิน และมีนัยยะทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรองไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นที่ขัดแย้งก็ถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก และเมื่อมีการฟ้องจะต้องมีการวางเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ที่ไม่รวมค่าทนาย ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริง

จากนั้นเวลา 09.45 น. นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ให้สัมภาษณ์หลังเข้าฟังคำพิพากษา คดีดำอ.280/2564 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ว่า วันนี้นายธนาธร ไม่ได้เดินทางมาที่ศาลมีเพียงแค่ผู้รับอำนาจเท่านั้น ซึ่งตนชนะคดีหลังจากที่เขาฟ้องเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งตนอยากบอกว่าการที่พวกคนฟ้องคนอื่น หรือฟ้องประชาชนพร่ำเพรื่อนอกจากจะเสียเงินเยอะแต่ละคดี และเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท คนพวกนี้อ่อนประสบการณ์ วันใดที่บริหารประเทศด้วยการอ่อนประสบการณ์แบบนี้จะทำให้ประเทศเสียหายและล่มจม

ส่วนคดีนี้ เป็นประเด็นที่นายธนาธรฟ้องร้องตน ในตอนที่ตนประกาศชัดเจนว่าจะต่อสู้กับพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และม็อบ 3 นิ้ว ที่สนับสนุนการล้มล้างการปกครอง โดยประเด็นนี้ศาลตัดออกทั้งหมด เหลือเพียงประเด็นที่ตนบอกว่า นายธนาธรจะถูกกลุ่ม คปท. ฟ้องร้องดำเนินคดีในมาตรา 112 และศาลได้พิเคราะห์ตามข้อเท็จจริงแล้วว่า สิ่งที่ตนนำเสนอนั้น มีข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์หรือที่มีการนำเสนอข่าวว่ากลุ่ม คปท. กำลังจะดำเนินคดีจริง ดังนั้น การที่ตนนำเสนอเรื่องดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท ศาลจึงยกฟ้อง

วันนี้แม้จะเป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสํ้ด้วยข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล และตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาตนโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงหมดซึ่งตนไม่เคยกลัวเพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา นอกจากนี้ขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112

ขณะที่ฝากไปถึง ประชาชน ช่วงนี้มีบางพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอ รณรงค์เชิญชวนเข้าแคมป์ สร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้มีการไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการให้เป็นกลาง ไม่ควรมีพรรคการเมืองเข้าไปยุ่งหรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นการฝักใฝ่และทำให้เจตนารมย์ของส.ว. มีปัญหา

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวการเมือง เป็นกระแส