ทนายตั้ม ย้ำมั่นใจ หลักฐานข้อมูลเด็ดโค่น บิ๊กต่อ พร้อมพลีชีพสู้อำนาจมืด

27 มี.ค. 67

 

ทนายตั้ม ย้ำมั่นใจ หลักฐานข้อมูลเด็ดโค่น บิ๊กต่อ บี้เส้นทางการเงินวงศาคนาญาติโยงเว็บพนัน พร้อมพลีชีพสู้อำนาจมืด ดักคอนายกฯต้องดำเนินการ 

จากกรณีที่นาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ แถลงเรื่องเส้นทางเงินจากเว็บพนัน เชื่อมโยงนายตำรวจระดับสูง และเครือญาติ พร้อมกับพาดพิงนักข่าว และองค์กรวิชาชีพ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ 

ต่อมาวันที่ 27 มี.ค. 67 ทนายตั้ม ให้สัมภาษณ์ว่า ตนทำใจไว้แล้วว่าเรื่องนี้อาจะจะต้องถูกฟ้องร้อง และไม่รู้ว่าจะมีอิทธิพลมืดอะไรมาอีก เป็นเรื่องที่เตรียมใจไว้แล้ว ไม่ได้กังวลอะไร ส่วนที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ระบุว่าข้อมูลไม่ชัดเจน ตนยืนยันว่ามีบุคคลในองค์กรนี้มีเส้นเงินของเครือข่ายเว็บพนันไปถึงจำนวน 6 ครั้ง ขอให้ตรวจสอบตามผังที่ตนส่งไปได้เลยว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน 

ทั้งนี้เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางสมาคมฯ ด้วย เพราะเป็นเรื่องของตัวบุคคลคนที่รับเงิน สมัยดำรงตำแหน่งเป็นอุปนายกของสมาคมฯในขณะนั้น ตอนนี้มีการเปลี่ยนคณะกรรมการผู้บริหารแล้ว เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา และทราบว่าบุคคลที่รับเงินไม่ได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการผู้บริหารในตอนนี้แล้ว 

เมื่อถามถึง กรณีที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ออกมาระบุ การออกมาแถลงข่าวของตัวเองเป็นการดิสเครดิต ทนายตั้ม กล่าวว่า ยืนยันว่าข้อมูลที่ตัวเองมีเป็นหลักฐานที่มีคนนำมาให้ อีกทั้งเมื่อวานนี้ยังพบข้อมูลเส้นเงินใหม่ ที่พบบัญชีม้าชื่อณัฐพล โอนทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา เกือบ 200,000 บาท และหลังจากนั้นสองวัน ผบ.ตร.ก็เดินทางไปทำบุญที่วัดดังกล่าว ซึ่งบัญชีม้านี้เป็นบัญชีเดียวกันที่เงินเว็บพนันโอนไปให้ญาติ ผบ.ตร. ทั้งพี่ชาย พี่สาว  และภรรยา ผบ.ตร. 

จะบอกว่าท่านไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร เพราะบัญชีมาพวกนี้เป็นบัญชีที่รับเงินจากส่วย และเว็บการพนันมาอยู่แล้ว เหตุผลอะไรทำไมไม่ชี้แจงว่าเงินจากบัญชีม้าจากส่วย ทำไมต้องเข้าบัญชีญาติท่าน ก็ขอให้พูดมาชัดเจน สังคมรอฟังอยู่ 

เมื่อถามว่า แต่ไม่มีเส้นเงินจากบัญชีม้าวิ่งไปหาบัญชีของ ผบ.ตร.โดยตรงใช่หรือไม่ ทนายตั้ม กล่าวว่า ไม่มี แต่เป็นคนรอบข้าง และเป็นการทำบุญ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีการดำเนินคดีกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. แล้ว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย 

“ผมยืนยันว่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะอะไรกับ ผบ.ตร. จึงไม่จำเป็นต้องไปดิสเครดิต และเรื่องนี้ถือเป็นโอกาสดีของสังคม นายกฯจะมาบอกว่าไม่รับรู้ และไม่ตั้งกรรมการแล้ว จริงๆ แล้วท่านจะต้องรับรู้ เพราะเรื่องนี้เป็นการดำเนินคดีของคนระดับ ผบ.ตร. ตอนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเหมือนเป็นฝี และเป็นฝีเม็ดใหญ่ อยากให้นายกฯ เป็นแพทย์ใหญ่มาผ่าตัดออก โดยมีประชาชนทั้งประเทศรอดูอยู่ ถ้าเกิดว่านายกฯ ทำสำเร็จ ผมคิดว่าจะต้องมีแต่คนสรรเสริญท่านแน่นอน เพราะทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติสำเร็จเลย ในเรื่องของส่วย ซึ่งเป็นโอกาสดีที่วันนี้สังคมตื่นตัว นายกฯจะบอกว่าไม่รับรู้ไม่เห็นอะไรก็ไม่ได้แล้ว เพราะเป็นผู้นำรัฐบาล” 

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าเส้นเงินไปถึงเครือญาติของ ผบ.ตร. นั้น สามารถระบุให้ชัดกว่านี้ได้หรือไม่ว่าคือใคร ทนายตั้ม กล่าวว่า ตนไม่ขอระบุตัวบุคคล ทั้งนี้ยืนยันว่าสามารถแสดงหลักฐานได้ หากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น แต่ก่อนหน้าที่จะฟ้อง ตนขอให้มีการตรวจสอบก่อน อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งใครได้ เพราะตอนนี้อยากให้มีการดำเนินคดีกับ ผบ.ตร. และพรุ่งนี้ตนจะไปหา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว หรือ บิ๊กเต่า รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก็ไม่รู้ว่าถึงเวลาเขาจะกล้าทำให้หรือไม่ 

เมื่อถามว่า มีการมองว่าทนายตั้มอยู่ในการครอบครองของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้ออกมาต่อสู้ในครั้งนี้ ทนายตั้ม กล่าวว่า ตนไม่ได้อยู่ในการครอบครองของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นแค่คนสนิทกัน ตนยอมรับว่ามีความสนิทกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่ตนก็ไม่ได้บอกว่าให้ดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์แค่คนเดียว ซึ่งต้องสร้างมาตรฐาน ใครก็แล้วแต่ที่มีการรับเงินจากส่วยทุกคนก็ต้องถูกดำเนินคดีอย่างเท่าเทียม มันต้องเกิดกระบวนการตรวจสอบก่อน ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เข้าสู่กระบวนการตวจสอบแล้ว แต่ทาง ผบ.ตร.ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย และผบ.ตร.ก็เคยแถลงเองว่าเห็นเส้นทางการเงินนี้มาตั้งนานแล้ว และบิ๊กเต่าก็น่าจะเห็นมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินการ แบบนี้เรียกว่าสองมาตรฐานหรือไม่ อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่า ตนเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างที่ออกมาเปิดเผย และเชื่อว่าต้องถูกดำเนินคดีแน่นอน แต่ตอนก็มีหลักฐานเส้นเงินแล้ว ไม่ได้ไปกล่าวหาลอยๆ เพราะตนอยากให้มีการตรวจสอบ 

ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า หลังจากที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ตนก็ระวังตัวเองอยู่แล้ว เพราะเราสู้กับคนระดับนี้ มันก็ต้องกลัวที่จะต้องถูกทำร้าย หรือถูกทำอะไร และตนก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนตัดสินใจแล้วที่จะออกมาแฉเรื่องส่วยของตำรวจ เพื่อให้สังคมตื่นตัว อนาคตตนจะถูกลอบทำร้ายหรือจะตายไป แต่ถ้าสังคมเปลี่ยนแปลงตนก็ตัดสินใจแล้วว่าตนยอม และทุกครั้งที่ตนออกมาแฉคนอื่น ตนก็มักจะถูกแฉกลับทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ตนตั้งใจแล้วถ้าจะทำอะไรตนพร้อม 

ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องนี้ตนพร้อมสู้ และน้อมรับ หากจะหาข้อหาใดๆ มาแจ้งความตนก็ดำเนินคดีมาเลย ตนก็สู้ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องสู้ในศาล ไม่ได้จบแค่ตำรวจ เพื่อให้สังคมได้ตาสว่าง เหมือนทุกครั้งที่ต้องออกมาสู้กับอำนาจรัฐ สู้กับ สตช. และทะเลาะกับ ผบ.ตร. ตนถูกแบบนี้ทุกครั้ง 

และเรื่องนี้ต่อให้ได้เงินมา 10 ล้าน 20 ล้าน ก็ไม่คุ้ม เพราะต้องถูกดำเนินคดี 10 คดีค่าใช้จ่ายในอนาคตเท่าไหร่ ทั้งเสียเวลา และถ้าพลาดพลั้งไปก็ติดคุก ถ้าเป็นข้อมูลปลอม ฉะนั้นวันนี้ที่ตนออกมา เพราะมั่นใจแล้วว่าข้อมูลที่ให้มานี้เป็นของแท้ และโยงใยไปถึงตัว ผบ.ตร. ไม่ว่าจะเรื่องการทำบุญ หรือญาติพี่น้อง หรือเรื่องบริวารรอบตัว 

ทนายตั้ม กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามตนจะนำเรื่องนี้ไปยื่นต่อนายกฯ แต่ถ้านายกไม่สนใจ ตนก็จะนำไปยื่นกับผู้นำฝ่ายค้านแทน ตนอยากทำงานของตนให้เสร็จสิ้นสำเร็จก่อน หากในอนาคตจะโดนเก็บก็เป็นเรื่องของโชคชะตา เพราะคงมีคนไม่ชอบตนหลายคน และยืนยันว่าตนจะไม่หยุดแค่นี้ เพราะยังมีข้อมูลที่จะแฉอีกเยอะ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลเดิมที่เคยออกมาแฉหรือไม่ หรือเกี่ยวกับหน่วยไหนอีก

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส