เพื่อนร่ำไห้ “บุ้ง ทะลุวัง” อดอาหารแลกชีวิต ชี้นักโทษการเมืองไร้สิทธิช่วยเหลือเข้ารับการรักษาให้ทันถ่วงที พร้อมสานต่อ 3 ข้อเรียกร้อง
จากกรณี น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง นักกิจกรรมทางการเมือง ที่ถูกคุมขังในคดีความผิด มาตรา 112 ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค. 67 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 110 วัน ซึ่งเจ้าตัวได้อดอาหาร เพื่อเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และยุติการคุมขังผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง
จนช่วงเช้าวันที่ 14 พ.ค. 67 มีรายงานข่าวว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์แจ้งว่า เวลา 06.00 น. บุ้ง ทะลุวัง หัวใจหยุดเต้น และกำลังปั๊มหัวใจอยู่
ต่อมาเวลาหลังจากทีมแพทย์พยายามช่วยเหลือและส่งตัวไปรักษายัง รพ.ธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ แพทย์ได้ช่วยชีวิตจนสุดความสามารถ ก่อนจะเสียชีวิต ในเวลา 11.22 น.
ขณะที่ ใบปอ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ให้สัมภาษณ์ ระบุว่า ขอประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าพี่บุ้ง เนติพร เสน่ห์สังคม ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว จากการที่พี่บุ้ง อดอาหาร มาตลอดระยะเวลาร้อยกว่าวันที่ผ่านมา จากคดีม.112 และศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ให้ประกัน หลังจากยื่นประกันไปหลายรอบ และพี่บุ้งก็อดอาหารมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ทำให้ ทำให้พี่บุ้งต้องเสียชีวิต โดยเวลาที่หมอขานเสียชีวิตคือ 11.22 น
ส่วนแนวทางการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ กำหนดการและรายละเอียดต่างๆจะแจ้งให้ทราบทีหลัง ส่วนจะมีการเคลื่อนไหวประเด็นที่ทำให้ พี่บุ้ง เสียชีวิตไปหรือไม่นั้นอยากให้ติดตามตอนต่อไป
ใบปอ ยังบอกอีกว่า ตอนนี้ตะวันก็กำลังอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และอดอาหารเหมือนกับพี่บุ้ง สิ่งที่กังวลมากที่สุดก็คือ เราไม่อยาก ให้มีใครต้องเสียชีวิต เพราะคดีม.112 อีกแล้ว อยากให้ช่วยกันจับตาสถานการณ์ และช่วยกันส่งเสียงนี้ถึงผู้มีอำนาจ ว่า “วันนี้มีคนที่ยอมแลกชีวิต เพราะการติดคุกด้วยมาตรา 112 จริงๆ” ซึ่งก่อนหน้านี้ พี่บุ้งพูดไว้ว่า เขาไม่ได้มาเล่นๆเขามาจริง และครั้งนี้เขาต้อง จากไปจริงๆ
ขณะที่ นายกิตติทัช บอกว่าวันนี้มาในนามตัวแทนของเพื่อน ซึ่งพี่บุ้งยืนหยัดด้วย 3 ข้อเรียกร้อง
ข้อที่ 1 คือ ประเทศไทยไม่ควรที่จะได้เป็นสมาชิกของคณะมนตรี ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เราไม่ได้บอกว่า “ไม่ต้องเป็น”เพราะว่ายังไงตามกลไกของสหประชาชาติ ยังไงประเทศไทยได้เป็นแน่นอน แต่ว่าเราเพียงจะแสดงให้เห็นว่า “ไม่ควรเป็น” ถามว่าทำไมถึงไม่ควรเป็น เหตุการณ์ในวันนี้เป็นประจักษ์พยานแล้ว ว่าทำไมถึงไม่ควรเป็น การที่พี่บุ้งไม่สามารถได้รับการประกันตัวออกมา รวมถึงการที่จะต้องกลับเข้าไปอีกครั้งในคดีที่รัฐเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน
และข้อ 2 ประเทศไทยควรจะมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การได้รับประกันตัว ม.112 รวมไปถึงไม่ควรจะมีผู้เห็นต่างทางการเมือง ที่จะต้องมาติดคุกอีก
นายกิตติทัช ยังบอกอีกว่า ภูมิหลังครอบครัวของบุ้ง เธอมี ความหวัง ที่อยากจะปฏิรูปความยุติธรรมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ 2-3 ปีที่มาเคลื่อนไหว จึงอยากขอให้ทุกคนเห็นใจ ถ้าเราอยากจะปฏิรูป กระบวนการยุติธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่อยากให้มันสูญเปล่า และสุดท้ายคือ ไม่ควรที่จะมีใคร ต้องมาติดคุกหรือว่าถูกดำเนินคดี จากคดีทางการเมืองอีก เพราะว่าเราได้เห็นแล้วว่า การถูกดำเนินคดีทางการเมืองทุกคดี สิทธิในการประกันตัวก็ไม่มี สิทธิที่จะได้เข้าพบทนายก็ไม่มี หรือสิทธิ ในการเข้ารับการรักษา ให้ทันท่วงที การให้แพทย์ได้เข้าไปช่วยเหลือ ก็ไม่มี เราจึงเรียกร้องจุดยืน 3 ข้อนี้ เพราะเราเห็นว่า 3 ข้อเรียกร้องนี้เป็นสิ่งที่ภาคประชาสังคม หรือว่าหน่วยงานพรรคการเมือง หรือว่าหลายๆกลุ่มที่เคลื่อนไหวก็กลับมายืนหยัด เราก็คิดว่าควรจะยืนหยัดต่อไป ไม่อยากให้สิ่งที่พี่บุ้งทำมันเสียเปล่า
ในช่วงท้ายการให้สัมภาษณ์ นายกิตติธัช ก็ได้ร่ำไห้ ระบุว่าอีกไม่กี่อาทิตย์ ก็จะได้เจอกันแล้ว ซึ่งจะเป็นรายชื่อตนเองมีสิทธิจะได้เข้าเยี่ยมพี่บุ้ง และนี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่การเข้าเยี่ยมก็ยังเป็นปัญหา ตอนนี้รู้สึกคิดถึงและเสียดาย เพราะเชื่อว่าในกระบวนการของการประกันตัวก็จะมีทิศทางที่ดีขึ้น “โดยภาพสุดท้ายที่เห็นพี่บุ้ง ก็คือกอดกัน พี่บุ้งก็ยังกระโดดโลดเต้น ก็ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ คิดถึงเธอครับ”
ผ่านมาอาจจะมีภาพออกไปทางโซเชียลเกินเลยออกไป เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ว่าในฐานะน้องคนหนึ่ง เธอก็เป็นพี่สาวที่น่ารัก
Advertisement