จับหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์สุดโหด พร้อมสมุน 12 คน รายได้พันล้านต่อปี

18 พ.ค. 67

 

ทลายแก๊งคอลเซนเตอร์รายใหญ่ จับหัวหน้าสุดโหด พร้อมสมุน 12 คน บังคับทำยอดสัปดาห์ละ 20 ล้าน รายได้พันล้านต่อปี หากใครทำยอดไม่ได้บังคับยืนตากแดด -ทุบตี 

วันที่ 18 พ.ค. 67 พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม ทางเทคโนโลยี แถลงผลปฏิบัติการ HANG UP โดยสามารถจับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์สุดโหด พร้อมสมุน 12 คน บังคับทำยอดสัปดาห์ละ 20 ล้านบาท ทำรายได้นับพันล้านต่อปี 

สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายรายหนึ่งได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นพนักงานธนาคาร (สาย1) โทรมาหลอกว่าผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต หากไม่ได้ใช้บัตรเครดิตดังกล่าวอาจมีบุคคลแอบอ้างต้องแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองตาก เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ มิจฉาชีพจึงโอนสายต่อไปให้คนที่สอง ซึ่งปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองตาก (สาย2 : สวมบทข่มขู่) จากนั้นจึงให้ผู้เสียหายแอดไลน์ แล้วข่มขู่ว่ามีพยานหลักฐานที่แสดงว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงินต้องโดนดำเนินคดี ผู้เสียหายเกิดความกลัว มิจฉาชีพจึงให้ผู้เสียหายแสดงความบริสุทธิ์โดยการโอนเงินให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ 

จากนั้นจึงมีการโอนสายต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมที่อ้างตัวเป็นผู้กอง (สาย 3 : สวมบทปลอบโยน) โดยให้คำแนะนำ และโน้มน้าวให้ผู้เสียหายโอนเงินไปตรวจสอบ เมื่อเสร็จแล้ว และจะโอนคืนให้ในวันถัดไป จึงแจ้งข้อมูลบัญชีธนาคารให้ผู้เสียหายโอนเงิน ผู้เสียหายได้โอนไปหลายครั้ง รวมทั้งสิ้น 2,370,000 บาท และยังแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเพิ่มอีก จนผู้เสียหายรู้ตัวว่าโดนหลอก จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมา 

จากนั้นจึงได้สืบสวนหาข้อมูลจนพบพยานหลักฐานต่างๆ ที่สอดคล้องว่าผู้เสียหายรายนี้โดนหลอก โดยแก็งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ด จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา จึงได้ประสานไปตำรวจประเทศกัมพูชา จึงทราบว่ามีคนไทยถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และได้หาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยในกัมพูชา ต่อมาสามารถช่วยเหลือออกมาได้จำนวน 4 คน 

ต่อมา พนักงานสอบสวน บก.สอท.2 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนทราบข้อมูลบุคคลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ดดังกล่าว จนสามารถขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 15 คน สามารติดตามจับกุมมาได้ได้ ทั้งสิ้น 12 คน คือ

1.นายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง อายุ 21 ปี (หัวหน้าแก๊ง และ โอเปอเรเตอร์ สาย 3)

2.นายภาณุ หรือตี๋ อายุ 23 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1 และ 2)    

3.นายพงศกร หรือ เบล อายุ 29 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1)

4.นายกฤษณะ หรือ เบส อายุ 21 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1)

5.นายอภิรัฐ อายุ 23 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1 และ 2)    

6.น.ส.ฤทัยรัตน์ อายุ 29 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1)

7.น.ส.ธวัลกร หรือ น.ส.กุสุมา หรือโฟม อายุ 28 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1 และ 2)    

8.นายธวัชชัย หรือ ตังค์ อายุ 24 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1 และ 2)

9.นายพงศธร หรือ ปราย อายุ 24 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1 และ 2)

  1. น.ส.พัชสร หรืออุ้ม อายุ 23 ปี (โอเปอเรเตอร์ สาย 1)

11.นายอดิศักดิ์ อายุ 35 ปี (คนพาข้ามแดนโดยช่องทางธรรมชาติ)    

12.น.ส.ใบเฟิรส์ อายุ 21 ปี อายัดตัวที่เรือนจำจังหวัดกาฬสินธุ์ (เจ้าของบัญชีม้า) 

ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 ราย พบว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปแล้ว 

ตำรวจพบหลักฐานสำคัญของ นายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง คือ พบว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์เก็บไว้ในแฟลชไดรฟ์จำนวนมาก เช่น ข้อมูลเหยื่อกว่า 12,000 ราย ข้อมูลบทพูดหลอกลวงผู้เสียหาย ของสาย 1 และ สาย 2 ข้อมูลการแก้ปัญหากรณีเหยื่อสอบถามกลับ ข้อมูลคลิปวีดีโอของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำการตัดต่อเสียงแล้ว ข้อมูลบัตรข้าราชการตำรวจปลอม ข้อมูลวิธีการจัดทำซิม และบัญชีม้า และข้อมูลอื่นๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบภาษาจีนอีกเป็นจำนวนมาก 

จากการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ทุกคนให้การยืนยันว่า นายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง คือผู้ควบคุมสั่งการทั้งหมด โดยพักอาศัยในอาคารมีรั้วสูงรอบขอบชิด มี รปภ. เฝ้าตลอดเวลา ไม่สามารถออกไปไหนได้ หากใครทำยอดไม่ได้ ทำผิดกฎข้อห้าม หรือ พยายามหลบหนี อาฉิ่งจะบังคับให้ยืนตากแดด 2-3 ชั่วโมง หรือทำร้ายร่างกายโดยการทุบตี และชอร์ตด้วยเครื่องชอร์ตไฟฟ้า โดยบังคับให้ทำงานตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น. ไม่มีวันหยุด มีอาหารให้ 4 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น และค่ำ) แต่ในเวลางานอนุญาตให้ดื่มแค่น้ำเปล่า ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ และห้ามคุยกันข้ามสาย อีกทั้งอาฉิ่งยังเป็นผู้เรียบเรียงบทพูดในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยนายอาฉิ่งพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาจีน 

ผู้ต้องหายังให้การว่า ทำงานอยู่แก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ ตั้งแต่ปลายเดือนธ.ค. 2565 ถึงกลางปี 2566 ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณอายุ โดยในการทำงานนั้น หัวหน้าแก๊งจะสั่งให้คัดลอก และท่องบทพูดจนคล่องและนั่งประกบรุ่นพี่จนสามารถทำงานได้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหลอกเหยื่อให้โอนเงินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 20 ล้านบาท หรือ ประมาณเดือนละ 80 ล้านบาท ทำให้มีแก๊งดังกล่าวมีรายได้หมุนเวียนนับพันล้านต่อปี 

หากทีมใดทำยอดถึงเป้าจะได้หยุด 1 วัน หากทีมไหนยอดไม่ถึงเป้า ก็จะไม่มีวันหยุดพัก โดยช่วงเวลา 18.00 น. ของทุกวันจะประกาศผลการทำยอดของแต่ละคน ซึ่งหากใครทำยอดได้เยอะจะได้รับเสียงปรบมือจากทุกคนและได้รับรางวัลพิเศษในที่ประชุม และในส่วนเงินตอบแทนจะได้รับตามเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่หลอกได้ คือ สาย 1 ได้ 6 เปอร์เซ็นต์ สาย 2 ได้ 5 เปอร์เซ็น และ สาย 3 ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ หากคนเดียวทำได้ทั้งสาย 1 และสาย 2 ก็จะได้รับรวมกันถึง 11 เปอร์เซ็นต์

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส