หนุ่ม กะลา ควงทนายเดชา ตั้งโต๊ะแถลง ปมยื่นฟ้อง 2 คนใกล้ชิด ยักยอกเงิน 66 ล้าน ลั่นสเตทเม้นท์ไม่โกหก มีหลักฐานเส้นเงินชัด
หลังจากทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจ “ทนายคลายทุกข์” ระบุว่า หนุ่มกะลา ยืนยันมอบหมายให้ทนายเดชา ยื่นฟ้องคนใกล้ชิดจำนวน 2 คน ที่ยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดทองบริบูรณ์ 365 เป็นเรื่องจริง มูลค่ากว่า 66 ล้านบาทนั้น
ล่าสุด ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และ หนุ่ม กะลา นักร้องชื่อดัง ตั้งโต๊ะแถลงข่าว โดย หนุ่ม กะลา ระบุว่า ปมที่ต้องออกมายื่นฟ้องครั้งนี้ ว่าเริ่มจากสินสมรสสหายไป 66 ล้านบาท ฟ้องหย่าไม่ได้ จึงต้องฟ้องอาญาฐานยักยอก แต่เงินที่ยักยอกไม่ใช่สินสมรส เป็นเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด โจทก์ที่ฟ้องก็ไม่ใช่ตน แต่เป็นนิติบุคคลในนามบริษัท
จริงๆหลักๆต้องบอกว่าตนไม่ได้อยากให้เป็นข่าว ที่ผ่านมาสังเกตว่าตั้งแต่เป็นข่าวเรื่องมือที่สาม ตนออกมาพูดแค่ครั้งเดียว เพราะกลัวกระทบถึงลูก ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ครั้งนี้ไม่คิดว่าจะพูดเลย แต่ตนจะบวช ก็เลยโทรหาพี่เดชาว่าพี่อย่าทำข่าวนะ ตนขอบวชนะ เพราะตนเหนื่อยมาพักหนึ่งแล้ว พี่เดชาก็รับปากว่าได้ไปบวชเลย
แต่อยู่ดีๆก็มีข่าวออกมาว่า เราจะบวชหนีแล้วไปอยู่กับเมียน้อย มันก็เริ่มเป็นกระแสแล้วมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้พี่ทนายเดชา บอกว่าต้องพูดหน่อยแล้ว เพราะมันไปไกลแล้ว
คือเจตนา ที่ไปฟ้องต่อศาลเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการยักยอกเงิน 66 ล้านบาท ตนว่ามันคือปัญหาภายใน ตนไม่ใช่คู่แรกของโลกที่มีการฟ้องร้องกันแบบนี้ ตนคิดว่าการคุยต่อศาลมันคือการคุยกันภายใน ตนไม่ได้ใช้สื่อมากดดัน แต่พอฝั่งนั้นเขาพูด มันก็ถึงเวลาที่ตนจะมาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น
10 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเงินเลย เพราะว่าเราเป็นสามีภรรยากัน ตนจ่ายค่าไฟเองยังไม่เป็นเลย ตนมีหน้าที่ออกไปหาเงินอย่างเดียว ทีนี้จุดที่มันทำให้ตนรู้สึก ก็คือตอนที่เราจะคืนบัญชี พอเขาคืนเงินกลับมา 300,000 บาท มันก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ตนรู้สึกว่า ตนยังต้องรับผิดชอบรายเดือนเขาและลูกอีกหลายแสน แล้วเงินตนไปไหนหมด
เขาไม่เคยให้เหตุผลเรื่องเงินกับตน เพราะที่ผ่านมาตนได้เป็นรายเดือน เดือนละ 40,000 บาท พอเขาคืนเงินกลับมา ตนก็แอบตกใจว่าเงินมันไปไหน จึงไปเช็คสเตทเม้นท์ทางมือถือได้คร่าวๆ ปรากฎว่าเงินถูกโอนออกไป ว่า เพ็ญชุลี เพ็ญชุลี ทั้งๆที่ตนไม่ได้เซ็นชื่อ
วันนี้ที่ตนคุยกับเขามาโดยตลอดว่า ทำไมเป็นคนในครอบครัวถึงไม่คุยกัน ตนคุยกับจูนมาตลอด คุยมาหลายเดือนแล้ว ทุกอย่างมันอยู่ใน LINE หมด คุยมาหลายเดือนมาก เพราะตอนนี้ตนเป็นหนี้ ถ้าบริหารเงินตนได้ ตนเป็นนักร้องมา 20 กว่าปี ทำไมตนถึงเป็นหนี้ 20 ล้าน เพราะตนหาเงินได้ปีละ 20 กว่าล้าน
ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร พอตนเห็นสเตทเม้นแล้ว ตนก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้จะเอาเงินคืน ตนอยากบอกทุกคนให้เข้าใจว่า ตนไม่อยากจะเอา 66 ล้านคืน ต่อให้มัน 100 ล้าน ตนก็ไม่เอาคืน แต่ตนขอเขาว่า ปิดหนี้ให้หน่อย แล้วถ้าเป็นไปได้ขอเงินติดตัว 5 ล้านได้ไหม ถ้า 5 ล้านไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ปิดหนี้ให้หน่อย แล้วก็จบกัน
จริงๆ ตนมีคำพูดนึงที่พูดกับคนรอบตัวว่า ตนรู้สึกผิดที่ตนทำสิ่งนั้น ตนยอมรับผิดอย่างผู้ชาย พอมันแยกทาง มันก็ต้องตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ ทีนี้ปัญหามันก็คือว่าเราตกลงกันไม่ได้ สมมุติคุณทำงานได้ 100 แต่คุณต้องใช้จ่ายเพื่อคนอื่น 90% คุณจะอยู่ยังไงและคุณยังเป็นหนี้อีก มันเป็นไปไม่ได้เลย ฉะนั้นตนทำงานมาทั้งชีวิต ตนรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับตน ต้องมานั่งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ทุกวันนี้ก็ยังต้องทำ รวมๆทั้งสองบ้าน ค่าใช้จ่ายต่อเดือนทั้งหมดประมาณ 700,000 บาท
เพราะว่าถ้าตัวเงินมันยังอยู่ มันดีตรงที่ว่าปิดหนี้ก็จบแล้ว แล้วเราก็จดทะเบียนหย่า ตกลงกันเรื่องลูก จริงๆตนคุยกันใน LINE ตลอด แต่เขาบอกไม่มี แต่ตนรู้ว่าเขามี ตนก็เลยพูดว่า ไปเอาเงินมาปิดหนี้ให้หน่อย แล้วขอ 5 ล้าน แล้วจบเลย เราต่างคนต่างไป บ้านต่อให้ปิดแล้ว ตนก็ให้เป็นชื่อเราทั้งคู่ แต่เขายืนยันว่าไม่มี
เขาก็บอกว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะ แต่ในท้ายที่สุดแล้วสเตทเม้นท์มันไม่โกหก ตนพูดอะไรก็ได้ จูนพูดอะไรก็ได้ แต่สเตทเม้นท์มันไม่โกหก
ตนไม่อยากให้ใครมองเขาไม่ดี แต่หลังจากแยกบ้านไปแล้ว ตนเห็นเขาช้อปปิ้งแบรนด์เนม 5 ใบ ไม่ได้ดูถูกเรื่องเงินเดือน แต่ตนร้องเพลงคืนเดียว เท่าเงินเดือนเขา แล้วเขาซื้อได้ขนาดนี้เลยเหรอ
ด้าน ทนายเดชาบอกว่า คดีนี้ก่อนฟ้องหลักฐานมันชัด เขาเอาเงินไปหรือเปล่า มันชัดในสเตทเม้นท์ เงินทุกบาททุกสตางค์ ที่เราฟ้องมันไปเข้าบัญชีเขา มันมีเส้นเงินชัดเจนก่อนจะฟ้อง ไม่ใช่อยู่ดีๆไปกลั่นแกล้งเขา เงินของห้างฯมันเข้าไปอยู่บัญชีของจำเลยที่หนึ่ง มันชัดเจนมันไม่ต้องอธิบาย ถ้าเขาบอกเขาไม่ได้ทุจริต เขาก็ต้องไปเอาหลักฐานมา ว่าเงินมันอยู่ในบัญชีเขาเอาไปทำอะไร มันชัดเจนไม่รู้จะชัดยังไง ถ้าไม่ชัดไม่ฟ้องหรอก
ก่อนที่หนุ่ม กะลา จะบอกว่า จริงๆตนไม่ได้คาดหวังว่าจะให้อีกฝ่ายฉิบหาย ไม่ได้คิดว่าจะทำสิ่งนั้นกับเขาเลยด้วยซ้ำ ตนเป็นหนี้ ตนรู้สึกว่ายิ่งตนมีกระแสข่าวมากเท่าไหร่ มันไม่ดีต่องานบันเทิงตนแน่นอน พอมันไม่เป็นผลดี แล้วตนจะหาเงินที่ไหนมาเลี้ยงลูก แล้วตนก็อายุเยอะแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือเอาเงินมาปิดหนี้ให้เราซะ แล้วก็จบกันไปดีกว่า ตนไม่ได้ต้องการที่จะไปคิดว่าเขาโกงไปกี่บาท แต่ตนแค่อยากคุย เคลียร์กันบนศาลเท่านั้น.