แม่สีดา ควง ต่าย สายธาร เปิดใจสัมพันธ์รักเหมือนแม่ลูกกันจริงๆ 20 ปีไม่ทิ้งกัน เคยพาไปกินส้มตำที่บาร์โฮส
“สีดา พัวพิมล” กลับมารับงานในวงการบันเทิง ในรอบ 40 ปี ควงอดีตแฟนสาวของลูกชายผู้ล่วงลับ “ต่าย สายธาร” เผยความสนิท ทั้งคู่เหมือนเป็นแม่ลูกกันจริงๆ ตอบเหตุผลที่ต่ายต้องคอยดูแลซัปพอร์ตจิตใจแม่สีดา ยาวนานเกือบ 20 ปี เล่าวีรกรรมความดื้อแม่สีดา ที่ทำต่ายอดห่วงไม่ได้ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
รักกันเหมือนแม่ลูกแท้ๆ ต่ายยังดูแลแม่อยู่เรื่อยๆ?
ต่าย : ดูแลซึ่งกันและกัน ตอนนี้แม่น่าจะดูแลต่ายแทนแล้ว (หัวเราะ)
สีดา : จริงๆ แล้วไม่ค่อยสนิท คบกันแบบผิวๆ (หัวเราะ)
แม่เรียกต่ายตลอด ถามยันแปรงฟันแล้วหรือยัง?
สีดา : อำเขา เขาเพิ่งตื่น เจอกันก็อำกันตลอด เราอยากให้เขาได้หัวเราะ ชีวิตเราเหมือนไม่มีอะไร เป็นคนสนุกสนานอยู่แล้ว
แม่ดูแลอะไรต่าย?
สีดา : ไม่ค่อยได้ดูแลหรอก เขาไม่ค่อยมีเวลาให้เราดูแล นางก็จะยุ่งของนาง จะโทรหานางได้ก็ต่อเมื่อต้องรอให้นางโทรมา โทรไปนางจะไม่ค่อยรับสาย นางจะยุ่งของนาง นอกจากนางโทรมาบอกว่าแม่ ทำอะไร เดี๋ยวจะรับไปกินข้าวนะ
เวลาโทรกลับไป ผ่านไปสองสามวันหรือโทรเลย?
สีดา : โอ้ย นานเลยค่ะ
ได้ยินว่าเวลาใครติดต่อต่าย ไลน์ไปปุ๊บต้องอีกวันสองวัน?
ต่าย : ต่ายเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์ ไม่อะไรใดๆ แต่ของแม่จะส่งสวัสดีวันจันทร์ อังคาร เราก็เปิดอ่าน สบายใจแล้วที่เขาส่งมา แสดงว่าเขาโอเค แต่ถ้าเขาไม่ส่งเราจะตาม (หัวเราะ)
ต่ายดูแลแม่สีดาตลอด 20 ปี เป็นอดีตแฟนอ๊อฟ แต่ทำไมดูแลไม่ทิ้งกันเลย?
ต่าย : จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสัจจะมากกว่า ที่วันนั้นบอกกับพี่อ๊อฟไว้ เหตุการณ์วันนั้นที่รพ. ก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแม่นะ ต่ายจะดูแลแม่เท่าที่จะดูแลได้ มันเป็นเรื่องของสัจจะที่ให้ไว้ค่ะ
ทำตามคำมั่นสัญญา แต่เห็นว่าไม่ชอบให้ใครบอกว่าลืมอ๊อฟยังไม่ได้?
ต่าย : แม่ก็พูด (หัวเราะ) หลายๆ คนมองว่าทำไมไม่มีแฟนสักที ก็ยังเห็นว่าเราทำบุญให้อยู่ มันก็ไม่ได้เดือดร้อนใคร แล้วชวนแม่ไปทำบุญครบรอบวันเสีย ไม่ได้ทำให้อ๊อฟคนเดียว เพื่อนคนอื่นเราก็ทำให้
ยุคนั้นต่ายก็ดังมากๆ ผลงานก็มีเยอะมาก ทำงานเพื่อสังคมช่วยเหลือคนเยอะแยะมากมาย มีโอกาสเจอคนดีๆ เยอะมากๆ แต่ก็ไม่มีแฟน?
สีดา : เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครค่ะ ยังหาใครไม่ได้เลย ขนาดยุเขานะผลักให้เขาไปมีแฟน แต่ไม่มี เขาเป็นเขาอย่างนี้ แม่ส่งเสริม เอาไปสักที แต่ก็ไม่มี
ไม่เปิดใจ?
ต่าย : เปิดนะคะ
สีดา : เปิดไม่กี่วัน (หัวเราะ)
ต่าย : แม่ก็รู้จักหมดทุกคนค่ะ แต่ส่วนมากที่เข้ามา มีเมียกันหมดแล้ว (หัวเราะ)
ชีวิตเจอแต่เรื่องผิดหวังซ้ำๆ ซากๆ หรือเปล่า พูดถึงอ๊อฟแล้วแววตาเปลี่ยน เหมือนกลั้นน้ำตาเบาๆ?
ต่าย : มันก็นึกถึงเนอะ แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ว่าเป็นเพราะฝังใจ ต่ายก็มีแฟนเหมือนกัน แต่ก็เลิกไปหดแแล้ว ตอนนี้โสด
แม่มองยังไง คนคิดว่าต่ายยังลืมอ๊อฟไม่ได้?
สีดา : เราว่าเขาคงผูกพันกันมากกว่า เราก็ไม่รู้นะว่าเขาเคยสัญญาอะไรกัน มันเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แม่เองไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา เพิ่งรู้ตอนหลังว่าเขาสัญญาว่าจะดูแลแม่เอง ซึ่งเวลาเขาว่างเขาก็พาเราไปกินข้าว แม่ว่างก็ชวนเขาไปกินข้าว เขาก็จะดูแลเราเมื่อเวลาเขาว่าง
ไม่ได้สัญญาว่าจะไม่ขอมีใครอีกเลย?
ต่าย : ไม่ค่ะ ก็อยากมีนะคะ
ถ้ามีคนดีๆ มาจีบ เปิดใจมั้ย?
ต่าย : มีมั้ยคะ แม่โปรโมตหน่อยค่ะ
สีดา : ถ้ามีใครชอบก็มาเอาไปสักทีนะคะ เดี๋ยวจะแถมข้าวสารให้ด้วย (หัวเราะ) ไม่ได้แถมให้กระสอบเดียวนะ ให้ไปทั้งโรงสีเลย
ต่าย : แต่แม่บอกว่าถ้าแม่มีแฟน อย่าว่ากันนะ เราบอกว่าใครมีแฟนก็ออกจากแก๊งเราไป แม่ก็บอกว่างั้นออก ไม่รู้แอบมีหรือเปล่า
แม่มีคนมาจีบมั้ย?
ต่าย : แม่ ไม่เอา ไม่โกหกประชาชน
สีดา : ไม่มี ต่ายเพ้อเจ้อนะเราเนี่ย
ต่าย : (หัวเราะถูกใจ)
เห็นว่าชีวิตต่ายเหมือนแม่?
ต่าย : บางทีเหมือนเห็นกระจก คล้ายๆ กัน อีกมุมที่แกร่งเหมือนกัน มันเหมือนกระจกค่ะ อยู่ตัวคนเดียว
มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกปล่อยมือกันไม่ได้?
ต่าย : จริงๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่มองตากันก็เข้าใจ
วันที่มีโอกาสเจอกัน ไปกินข้าว เดินเล่น พูดคุยกัน แต่วันไม่ได้เจอกัน ต่างคนต่างกลับไปอยู่ในห้องของตัวเอง ความรู้สึกเป็นยังไง อย่างแม่อายุ 70 แล้ว หลายคนห่วงแม่?
สีดา : จริงๆ แล้วการมีชีวิตอยู่คนเดียวก็ดีนะ มันชินแล้วไงคะ อยู่คนเดียวมา 20 ปีต้นๆ ส่วนตัวแม่ก็มีความรู้สึกชิน เริ่มชิน เริ่มไม่ต้องมีใครก็ได้หรือเปล่า เราก็สู้มาได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา ต่ายก็ยังเป็นห่วงเป็นใย ลูกสาวก็ยังเจือจุนอะไรต่ออะไร เราก็รู้สึกว่าเริ่มชินแล้วนะ สบายดีอยู่ตัวคนเดียว แต่อาจเหงาหน่อย ดึกๆ ชอบนั่งคนเดียวอยู่หน้าระเบียง ตีสองตีสาม นั่งคุยกับกำแพง
ต่าย : ถ้าอยู่ได้ก็ห้ามมีแฟนนะ
สีดา : ไม่มีก็เพราะเธอนี่แหละ ไม่มีใครเข้ามา (หัวเราะ)
จัดการความเหงายังไง?
สีดา : ด้วยความที่ชิน ก็หาทำโน่นนี่ไปเรื่อยๆ ในห้องเรา ถามว่าเหงามั้ย ก็เหงานะ
เวลาแม่เหงา แม่จะนั่งร้องไห้ แล้วเรียกหาอ๊อฟ คุยคนเดียว?
สีดา : แม่ไม่ได้เป็นประสาทแบบนั้นนะลูกนะ ส่วนใหญ่แม่พูดเรียกในใจเฉยๆ ไม่ได้ตะโกนเรียกหาอ๊อฟ เดี๋ยวใครไม่รู้จะส่งแม่เข้ารพ.ศรีธัญญา (หัวเราะ) จะไม่มาแบบนี้ เพียงแต่เรานึกถึงเขาในใจเรา เป็นเรื่องปกติแม่ลูก เราเบ่งเขาออกมา วันนึงไม่มีเขา เราก็นั่งนึก อ๊อฟอยู่ที่ไหนน้า อยู่ตรงไหน อะไรยังไง ทั้งคุณยายก็เรียกหมด นึกถึงลูกสาวด้วย เรายังมีลูกสาวอีกคนนึง
ทุกวันนี้ยังคิดว่าเขาอยู่ใกล้ๆ มั้ย?
สีดา : คิดค่ะ ใครจะว่าแม่มโน แม่ไม่สนใจนะ แม่คิด ถ้าเป็นคนอื่นก็คิด ถ้าเป็นลูกเขา ถ้าบอกว่าไม่คิดก็ไม่เชื่อหรอก
ต่าย : เหมือนต่ายสูญเสียแม่ไปแล้ว ก็คิดเหมือนกันเลย รู้สึกว่าเขาไม่ได้ไปไหน แค่ย้ายมาอยู่ในความทรงจำ
สีดา : เราเป็นแม่ อีกอย่างเราอยู่คนเดียว ความรู้สึกนึกคิดของเราก็ยังคิดตลอดเวลาอยู่แล้วว่าลูกอยู่ใกล้ๆ เรา บางทีนั่งหน้าระเบียงคนเดียว อ๊อฟอยู่ไหนลูก บางทีก็อยากไปอยู่กับหนูนะ แต่อย่าเพิ่งดีกว่า (หัวเราะ)
ต่าย : อยู่เป็นเพื่อนหนูก่อน จะรีบไปไหน
แม่มีปัญหา ก็ไม่ค่อยเอาปัญหามาปรึกษาต่าย?
สีดา : เราไม่อยากรบกวนใคร เรารู้สึกว่าปัญหาที่มีเดี๋ยวก็คลายได้ เราแก้ได้ เขาบอกว่าทำไมไม่บอก ก็ไม่รู้บอกทำไม เราก็ต้องมีความเกรงใจคนบ้าง อย่าเอาปัญหาเราไปให้เขารับรู้หรือห่วงมากมายเลย ไม่ได้มีปัญหามากมายหรอก บางทีเหงาแค่นั้นเอง โทรไปเขาก็ไม่ค่อยรับหรอก ต้องรอเขาโทรมา
ต่าย : ต่ายไม่ชอบไปไหน แต่แม่อะเลิด เที่ยวเก่ง หนีเที่ยว
ต่ายมีอะไรก็ไม่บอกแม่?
สีดา : เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่บอก เรารู้จากคนอื่นรอบข้างหมด
ต่าย : คำตอบเหมือนกัน ไม่อยากให้ไม่สบายใจ เขาก็ถามตลอดทำไมห้องปิดไฟ เปิดไฟ
สีดา : ก่อนเข้าสถานที่ที่เราพัก เราจะผ่านของเขาก่อน เรานั่งในรถแท็กซี่ก็มองทั้งเข้าทั้งออก มองห้องเขาเปิดไฟหรือเปล่า ไปไหน หลายวันแล้วไม่เห็นเปิดไฟ โทรไปก็ไม่รับสาย แต่นางก็เป็นแบบนี้ เราเข้าใจนางมีโลกส่วนตัว เขาบอกว่าอยู่ อยู่อะไร ทำไมห้องปิดไฟตลอด
ต่าย : จะให้เปิดไฟตลอด กลางคืนก็ต้องปิดไฟแม่ (หัวเราะ)แล้วถามว่าทำไมประตูปิด หนูปิดระเบียงค่ะ
สีดา : บางทีเราไม่รู้นางไปไหน ทำไมหลายวันแล้ว กลางคืนนางไม่เปิดไฟเลยหรือยังไง เราห่วงไง โทรไปก็ไม่รับสาย บางทีก็หงุดหงิดนะ แต่ไม่อยากโทรไปต่อว่าเขาหรอก
ต่ายรู้สึกยังไงแม่ห่วงเรา?
ต่าย : ยิ่งเกรงใจ ยิ่งไม่อยากให้รู้เท่าไหร่ กลัวแม่ไม่สบายใจ
คำพูดแม่ที่ทำให้ต่ายน้ำตาซึมตอนต่ายเจอแม่ จำถึงทุกวันนี้?
ต่าย : ตอนนั้นแม่โกนหัวบวช ก็รับแม่ไปทานข้าว ตอนทานข้าวแม่จะบอกว่าเนี่ย แม่ไม่ได้ทานเนื้อไก่ หรือหมูมานานแล้ว กินแต่ไข่จนหน้าจะเป็นไข่หมดแล้ว
สีดา : เคยเล่าให้น้องหนิงฟัง ว่ากินไข่จนจะขันได้
วันนี้ทุกอย่างดีขึ้น?
สีดา : ดีขึ้นบ้างค่ะ ต้องขอบคุณเบื้องบน อาจด้วยคนเราเนอะไม่รู้วิบากกรรม อาจจะถึงเวลาที่เขาพิสูจน์อะไรเราหลายๆ อย่าง ถูกพิสูจน์หนักมากนะ เป็นบททดสอบที่หนักมากสำหรับชีวิตเรา ตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ อย่างที่เคยคุยกับน้องหนิง จากที่ได้กินไข่จนบอกว่าจะขันได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้กินไก่ กินหมูได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นถึงขนาดอู้ฟู่ แต่ก็ดีขึ้น
เวลานัดจริงจังไม่เคยตรงนัดสักที?
สีดา : นัดไม่ได้ไป แต่ถ้าว่างชนกันเมื่อไหร่ ชวนเมื่อไหร่ก็จะได้ไป
ที่ไหนเขาพาไปเปิดหูเปิดตาแล้วตื่นเต้น?
สีดา : ชอบทุกที่ แต่มีอยู่ที่นึงไม่ชอบ ไม่ว้าวด้วย เป็นบาร์โฮส ต่ายพาแม่เข้าไป
ต่าย : แม่ไปก่อน
สีดา : บ้าเหรอ แม่จะรู้จักได้ไง ครั้งแรกลูกพาแม่ไป แม่ไม่เคยรู้จักพวกนี้
ต่าย : ไม่ใช่ ทีมงานหนูพาไปก่อน
สีดา : เหรอ ไม่รู้ แม่ไม่ชอบ
ต่าย : ต้องอธิบายก่อน คือน้องทีมงาน เจ้าของ เราสนิทกัน ไปที่นั่นไม่ได้ไปแอ๊วผู้ชายนะคะ ไปบาร์โฮสสั่งกินส้มตำ (หัวเราะ) นั่งฟังเพลง ทีมงานเขาไปก่อน วันนั้นวันแม่ 2-3 ปีติดโควิด ก็บอกทีมงานว่าพาแม่ไปทานข้าวที่ไหนก็ได้ เราก็รออยู่ที่ห้อง พอถามว่าเขาพาแม่ไปไหนมา เขาบอกพาไปบาร์โฮสมา (หัวเราะ) จริงๆ ตรงนี้ที่เราไปคือมันส่วนตัว เรารู้จักด้วย เราไม่ได้ไปแบบนั้น เราไปกินข้าว ฟังเพลงมากกว่า
สีดา : ด้วยวัยเรา ลูกไปไหนเราก็ต้องไป
ต่าย : ครั้งที่สองถึงไปด้วยกัน
สีดา : ก็ปฏิเสธไม่ได้ ลูกพาไป
ไม่กระชุ่มกระชวย?
สีดา : ไม่ชอบเลย
ไม่ตื่นเต้นกับบรรยากาศเหรอ?
สีดา : หนวกหู ไม่ชอบ เข้าไปคนก็ยกมือไหว้เหมือนศาลพระภูมิ
ต่าย : (หัวเราะ) ไหว้ตลอดค่ะ
สีดา : สถานที่แบบนี้ เอาจริงๆ แม่ไม่ชอบอยู่แล้ว มันไม่สนุก หรืออาจเป็นเพราะเราอายุเยอะแล้วเนอะ มันก็ไม่ได้เร้าใจอะไรเลย
มองเป็นเรื่องขำๆ คนยกมือไหว้แม่ เขาก็ต้องดูแล ชวนคุย?
ต่าย : ส่วนมากเราไปกับทีมงาน เราคุยกับแต่พวกเรา กับน้องๆ ซะส่วนใหญ่
สีดา : แม่ไม่คุยกับใคร (หัวเราะ)
ต่าย : จากนั้นก็สลับไปที่ของแม่บ้าง
สีดา : ถ้าว่างเพื่อนก็อยากให้ออกไปรีแลกซ์ ก็ไปที่ร้องเพลง เต้นได้ คาราโอเกะ นั่งกันสบายๆ อารมณ์ดี ถามว่าชอบร้องเพลงมั้ยไม่ได้ชอบ แต่เขาไปสนุกกัน เราก็ร้องไป
ต่าย : ร้องสากล และเต้นด้วย
พาไปถนนข้าวสารด้วย ยังไง?
ต่าย : ทีมงานเอาคลิปมาจากไหน เก่งมากเลยนะ
สีดา : เขาอีกเหมือนกัน แม่ก็ไม่ชอบอีก
ต่าย : ต้องบอกว่าวันนั้นจะทำช่องของตัวเอง ก็คุยกับแม่ว่ามาทำช่องด้วยกัน เป็นสองมุมมองของสองเจน ว่าเรารู้สึกแบบนี้ แม่เป็นแบบไหน ยุคก่อนเป็นยังไง ที่พาแม่ไป แม่ไม่ชอบสักที่ค่ะ(หัวเราะ)
สีดา : เขาชวนไปเราก็ต้องไปเนอะ จะไปงอแงก็ไม่ได้
ต่าย : ที่ไปก็ไม่ได้ไปเที่ยว ไปทำงานมากกว่า ไปทำคอนเทนต์กัน
ไปจริงแล้วคุยกันรู้เรื่องมั้ย?
สีดา : ไม่ค่อยรู้เรื่อง เสียงมันดัง ไม่ค่อยคุย เน้นกิน
แม่อายุ 70 แข็งแรงมาก โควิดก็ไม่เป็นเลย?
ต่าย : แม่เป็นโคโยตี้ ชอบเต้น (หัวเราะ)
รองเท้าแม่สูง เดินได้?
สีดา : แม่เดินแบบนี้จริงๆ ใส่ส้นสูงก็เดินได้
แม่เต้นสักเพลง?
สีดา : ไม่เอ๊า! (หัวเราะ)
แม่ถึงขั้นกราบกรานขอร้องให้ต่ายไปตรวจสุขภาพ?
สีดา : ไม่แข็งแรงเลย เป็นมากกว่าแม่อีก
ต่าย : โควิดรอบ 2 แล้วค่ะ เกือบเดือนแล้ว เป็นลองโควิดด้วย ก็เหนื่อย อยู่คนเดียว แต่มีตรวจสุขภาพค่ะ คนไม่ตรวจเลยคือแม่ค่ะ
สีดา : แม่เป็นคนแข็งแรงจริงๆ โควิด โคหวัดไม่เคยเป็นสักครั้งเดียว คนอื่นเขาเป็นกันหมดถ้วนหน้า มีปีไหนไม่รู้ รุ่นน้องเลี้ยงวันเกิดให้แม่ ไปกันประมาณ 20 คน เราคนเดียวที่ไม่เป็น เขาเป็นกันหมดทุกคน
แม่ขอร้องให้ต่ายตรวจสุขภาพ แต่ต่ายก็ห่วงสุขภาพแม่?
ต่าย : แม่ปากแข็ง แม่มีความดันด้วย ช่วงไม่ได้เจอกัน เจอทีไรก็จะพูดว่าแม่ผอมลงอีกแล้วนะ ไม่สบายหรือเปล่า บางทีเขาป่วยแล้วไม่บอก บางทีก็ถามว่ายาหมดหรือยัง ก็สังเกต บางทีเงียบๆ ไม่ได้เจอกัน ผอมลงก็จะถามแล้ว
สีดา : ตอนนี้อ้วนแล้ว ที่แม่ไม่ยอมไปตรวจไม่ใช่อะไรหรอก แม่รู้สึกว่าแม่แข็งแรง ถ้าไปตรวจขึ้นมาแล้วหมอบอกว่าเป็นอะไร แม่จะรู้สึกแย่
ต่ายเคยคิดอำลาวงการ ไปอยู่เชียงใหม่?
ต่าย : มีบ้านอยู่เชียงใหม่ พอแม่เสียก็ไม่ได้กลับไปบ้านเลย ก็อยากกลับไปพักบ้าง ช่วงนี้รุ่นใหม่มา รุ่นเก่าก็ต้องไป
ชวนแม่สีดาไปด้วย แต่แม่ไม่ยอมไป?
ต่าย : ไม่ได้ ตอนนี้คิวแน่นมาก เขาอาจไม่ชิน เข้าใจค่ะ แต่ก็รอนะแม่นะ
ทำไมไม่ไป?
สีดา : ก็ชอบอยู่นะเชียงใหม่ แต่เราจะไปเป็นภาระเขาทำไม เรายังอยู่เพื่อทำโน่นนี่นั่นได้ ถ้าไปก็เป็นภาระลูก เราไปอยู่ตรงนั้นเราก็ไม่ได้รู้จักใคร ไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไร ตรงนี้ยังมีเพื่อนฝูง พี่น้อง
จะลาวงการจริงมั้ย?
ต่าย : เคยคิดค่ะ แต่ถ้ายังมีงานจ้างอยู่ก็จ้างได้นะคะ จริงๆ ไม่เคยเล่นละครคู่แม่เลยนะ จ้างได้นะคะ
แม่สีดา จะกลับมาทวงบัลลังก์ที่สมศักดิ์ศรีในรอบ 40 ปี?
สีดา : วิมานหนามวันนี้วันแรกที่ออกฉาย ตื่นเต้นและดีใจ เราเล่นด้วยนะ 40 ปีที่ไม่ได้เล่นหนังใหญ่ เมื่อก่อนเรามาจากหนังใหญ่ แล้วมาลงละคร เหมือนกลับบ้านเกิด บทจริงๆ ก็เล่นเป็นตัวเราซะเยอะ เราก็จิก สูบบุหรี่ นิ่งๆ มองด้วยสายตา ถามว่าคิดนานมั้ยก็คิดอยู่ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรา ตอนแรกเขาให้ไปแคสก่อน เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราก็เป็นนักแสดงอยู่แล้ว ทำไมต้องไปแคสด้วย สมัยนี้ต้องแคส ก็รู้สึกว่าถ้าเราแคสแล้วไม่ได้เราหน้าแตกนะ ปรากฏว่าได้ เพราะทางน้องบอสและบริษัทจีดีเอชเลือกแม่เข้าไปเล่นตรงนั้น เราก็ไม่ได้เล่นหนังมานานมาก เราก็รู้สึกถ้าเราไปแคสแล้วไม่ผ่านเราหน้าแตกแน่ๆ เลย
กังวลใจ?
สีดา : มากค่ะ พอเสร็จก็บอกว่าโอเคเลย เขาอาจโอเคตั้งแต่แรกแล้ว
ในเรื่องสนิทกับอิงฟ้ามากๆ ทั้งที่เล่นจิกกัดกัน?
สีดา : น้องอิงฟ้าด้วยตัวเขาเป็นเด็กน่ารักโดยเนเจอร์เขาอยู่แล้ว เขาดูแลเรา เมตตาเรา ถ่ายเสร็จก็ชวนไปกินข้าวทุกวัน ทุกคืน น้องเป็นคนกินเก่งมาก ลูกชวนไปเราก็ไป
ชวนคนดูไปดูภาพยนตร์?
สีดา : วิมานหนามฉายวันนี้วันแรก อยากชวนทุกท่านไปดูกัน อย่ารอสปอย พุ่งไปเลย หนังดีมากเลย