เรืองไกร เขย่าเก้าอี้ นายกฯอิ๊งค์ ร้องกกต.สอบปมลาออกกรรมการ 20 บริษัทพร้อมกันในวันเดียว จี้สอบจริยธรรม ยินยอมให้ ทักษิณ ครอบครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ย. 67 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นาย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางไปยื่นหนังสือเพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องการลาออกจากกรรมการ 20 บริษัท เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
และ2. เรื่องการปล่อยให้นายทักษิณ ชิรวัตร ครอบครองขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่น่าจะถูกตรวจสอบเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ว่าได้ เพราะมีเหตุผล ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยเฉพาะสถานะการเป็นกรรมการบริษัท ซึ่งยังไม่ใช่เรื่องการถือหุ้นบริษัท เพราะอันนั้นตนจะเอาไว้ทีหลัง
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนตรวจสอบแล้วพบว่าใน 20 บริษัทนี้ นายกรัฐมนตรียื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท ในวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา มีผลวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา และบริษัทได้รับเอกสารวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งตามกฎหมายแพ่ง กรรมการจะลาออกให้ยื่นหนังสือไปที่บริษัทเอง หรือจะยื่นต่อนายทะเบียนก็ได้ ซึ่งเอกสารที่ตนคัดมาทั้งหมดของ 20 บริษัท มีประมาณ 100 แผ่นที่จะยื่น กกต.จึงมีข้อสังเกตว่า น.ส.แพทองธาร ไปยื่นลาออกที่บริษัท 20 บริษัทด้วยตนเองหรือไม่ เพราะในจำนวนนั้น มี 14 บริษัท มีที่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ อีก 2 บริษัทอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ซึ่งหนึ่งในนั้นมีสนามอัลไพน์ด้วย ส่วน 1 บริษัทอยู่ที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา และอีก 3 บริษัทอยู่ จ.ลำพูน
ซึ่งตั้งข้อสังเกตตามกฏหมายแพ่ง ตนถามว่าวันที่ 15 ส.ค. น.ส.แพทองธารไปยื่นหนังสือลาออกได้อย่างไรใน 20 บริษัท 4 จังหวัด เพียง 1 วันคือ วันที่ 15 ส.ค. โดยในวันดังกล่าวมีการประชุมมีการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย และเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี จากนายชัยเกษม นิติสิริ มาเป็น น.ส.แพทองธาร และจากนั้นช่วงเย็นก็มีการแถลงข่าวร่วมกัน ก่อนที่วันที่ 16 ส.ค. 67 ที่ประชุมสภาฯก็มีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ตรงนี้ต้องถามว่า น.ส.แพทองธารไปยื่นลาออกทั้งหมด 4 จังหวัดในเวลาเดียวกันได้อย่างไร
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนจึงถามตรงไปที่นายกรัฐมนตรีว่าท่านโชว์เอกสารได้หรือไม่ ซึ่งท่านก็บอกว่าไม่ใช่เรื่อง ขณะที่รักษาการนายกรัฐมนตรีก็บอกว่าเป็นเรื่องจุกจิกนั้น ตนไม่ใช่ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจุกจิก และยืนยันว่านายทักษิณเป็นคนแก้กฎหมายแพ่งในส่วนนี้เอง ซึ่งกรณีนี้คล้ายกับกรณีของนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค ที่มีการถือครองหุ้นสื่อและโอนหุ้นสื่อ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าโอนย้อนหลังหรือไม่ เป็นลักษณะทำนองเดียวกัน
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องที่ 2. คือเรื่องจริยธรรม ที่ตนร้องว่าตัวนายกรัฐมนตรีปล่อยให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพ่อมาครอบครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ตนร้องว่านายกรัฐมนตรียินยอมให้พ่อเข้ามาครอบครอง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของความเป็นพ่อลูก แต่เป็นเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องครอบงำที่จะไปร้องยุบพรรค เพราะตนยังไม่ร้องยุบพรรค เนื่องจากยังอ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็มของศาลรัฐธรรมนูญในเว็บไซต์ไม่ได้