จากกรณีนายภัธรชัย ทัดเทียม หรือ เปอร์ อายุ 27 ปี ถูกคนร้ายกระหน่ำยิงใส่ขณะนั่งอยู่ในรถเก๋งจนเสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณริมถนนราชพฤกษ์ ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายได้แล้ว 2 คน คือ นายเทอดธรรม ศรีประทุม หรือ เบนซ์ อายุ 31 ปี และ นายหนึ่ง บัวแดง หรือ บังจ๋า อายุ 34 ปี โดยยังมีผู้ต้องหาอีก 3 รายที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้ คือ นายชนภา ปริยกูล หรือ ศร อายุ 36 ปี /นายสุริยะ และยา หรือกิ๊ก อายุ 26 ปี /และนายชาตรี ปรีเปรม หรือเอ็ม อายุ 25 ปี ตามที่นำเสนอไปนั้น
วันที่ 17 มี.ค.63 ที่วัดเชิงกระบือ จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ นายภัธรชัย ทัดเทียม หรือ ช็อปเปอร์ ผู้เสียชีวิต ได้มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพ โดยมีกลุ่มเพื่อนสนิท และญาติเดินทางมาร่วมส่งเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้บรรยากาศในงานศพเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
นายเทิดไท ทัดเทียม พ่อของผู้ตาย บอกว่า หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือได้ก็คงปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม แต่ยังเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรมและการทำงานของเจ้าหน้าที่ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ เว้นแต่ว่าจะไม่ทำ
คนจังหวัดนนทบุรีทุกคนรู้ดี เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เคยมีหลายคนโดนทำร้าย จนกระทั่งบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าทางคดี
หากย้อนกลับไปวันที่ 25 พ.ค.62 ซึ่งลูกชายถูกรุมกระทืบที่พับแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นลูกชายบอกกับตนเพียงว่าหกล้มมา โดยไม่ยอมบอกควาจริงว่าวันดังกล่าวเกิดอะไรขึ้น กระทั่งมาทราบอีกว่าลูกชายเคยไปทำร้ายนายบลู ลูกชายซ้อเอ๋ ซึ่งเคยมีเรื่องที่ร้านเหล้าด้วยกันมาก่อน แต่ไม่ทันคิดว่าคนดังกล่าวนั้นเป็นลูกของซ้อเอ๋
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่มของบังจ๋าขนพวกมาที่ร้านของตน 30 คน ก่อนเข้ามาในร้านแล้วถามหาลูกชาย แต่ลูกน้องตอบไปว่าไม่อยู่ โดยก่อนออกจากร้านบังจ๋าพูดขึ้นว่า "ถ้าจะหนีก็หนีให้พ้น ไม่งั้นจะตายเหมือนหมา" ก่อนจะแยกย้ายขึ้นรถกลับออกไป
ไม่ใช่เพียงแค่เหตุการณ์ที่ลูกชายโดนขมขู่ เพราะประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่ลูกชายจะถูกยิงเสียชีวิต มีกลุ่มคนของบังจ๋า บุกมาที่ร้านขายมอเตอร์ไชต์อีกครั้ง โดยในวันนั้นตนย้ายร้านหนีไปแล้ว แต่กลุ่มของบังจ๋าได้เข้าไปงัดประตูหน้าร้าน แต่ไม่เจอใคร จึงยิงปืนขึ้นฟ้าขู่หลายนัด
จากนั้น เวลา17.30 น. ได้มีการนำร่างของนายภัทรชัย เข้าสู่เมรุเพื่อประกอบพิธีประชุมเพลิง พร้อมกับเปิดเพลง “การกลับมา ของวง Hobbit และเพลงเธอจะอยู่กับฉันตลอดไป ของวงแคลช เพื่อส่งดวงวิญญาณของนายภัทรชัยเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางเสียงร้องไห้ดังระงมทั่วทั้งงาน
นายบูม (นามมมติ) ลูกพี่ลูกน้องนายภัทรชัย บอกว่า วันที่กลุ่มของบังจ๋า บุกมาที่ร้านขายมอเตอร์ไชต์ ด้วยรถเก๋ง 4 คัน รถตู้ 1 คัน มาพร้อมพวกอีก 30 คน ในจำนวนนี้แบ่งหน้าที่ออกเป็น 3 กลุ่ม ต่างคนต่างทำหน้าที่ บุกเข้ามาในร้าน 10 คน นำโดยบังจ๋า และมีพวกปิดหน้าร้านอีก 10 คน และอีก 10 คน คอยอยู่สังเกตุต้นทางที่หน้าร้านสะดวกซื้อ
หลังจากบังจ๋าเข้ามาในร้านก็พยายามถามหานายภัทรชัย แต่ไมพบจึงขู่ว่าหากเจอตัวที่ไหนจะยิงทิ้ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นหากนายภัทรอยู่ในร้านคงจะถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกยิงเสียชีวิตคาร้านมอเตอร์ไซค์ไปแล้ว
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปที่ค่ายมวยของซ้อเอ๋ แต่ไม่พบกับซ้อเอ๋และลูกชาย โดยนายสุเทพ แสงเงิน พ่อบ้านค่ายมวย บอกว่า หลังจากเกิดเรื่องยังไม่เห็นซ้อเอ๋ปรากฏตัวที่ค่ายมวยอีก ส่วนใหญ่คนเป็นโปรโมเตอร์มวยก็จะมาบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ยืนยันคนในข่ายมวยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ และเชื่อว่าตัวซ้อเอ๋ไม่ได้เกี่ยวข้องเช่นกัน
ส่วนกรณีวัยรุ่นชายกว่า 30 คน ที่ถ่ายรูปร่วมกับบังจ๋าในพับนั้น ยืนยันว่าทั้งหมดไม่ใช่นักมวยในค่ายแต่อย่างใด
นายหวัง (นามสมมุติ) พ่อซ้อเอ๋ บอกว่า มั่นใจว่าลูกสาวกับหลานชายไม่ได้เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังตามที่มีข่าวออกมา เพราะซ้อเอ๋เป็นถึงโปรโมเตอร์มวยชื่อดัง ไม่มีทางเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้กังวลใจอะไร เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องความขัดแย้งของกลุ่มผู้ต้องหาเอง ไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัว
ส่วนบังจ๋าเป็นเด็กที่ซ้อเอ๋เอามาชุบเลี้ยง ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นคนเกเรจริง แต่หลังจากมาอยู่กับซ้อเอ๋ก็เป็นคนดีขึ้น เพราะได้รู้จักกับผู้ใหญ่และได้เข้าสังคมมากขึ้น
ซึ่งวันเกิดเหตุที่นายเปอร์ถูกยิงนั้น บังจ๋าเพิ่งจะออกจากบ้านไปช่วงเที่ยงคืนหลังทำความสะอาดบ้านเสร็จ โดยทราบมาว่าเจ้าตัวไม่ได้เป็นคนลงมือ เพราะตามไปถึงที่เกิดเหตุเพื่อนก็ยิงไปแล้ว จึงคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวกับบังจ๋า
นางฟา (นามสมมุติ) น้าสะใภ้ของซ้อเอ๋ บอกว่า ไม่ทราบว่าซ้อเอ๋กับลูกชายหายไปไหน แต่ที่ผ่านมานายบลูไม่เคยเกเรถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นจนตาย ส่วนซ้อเอ๋ก็ไม่ได้มีนิสัยนักเลง และไม่เชื่อว่าจะเป็นคนสั่งการให้ลูกน้องฆ่าใครแน่นอน ส่วนที่ซ้อเอ๋โพสต์วันเกิดเรื่องหลังลูกชายถูกทำร้ายนั้น ก็อาจจะทำไปด้วยอารมณ์โมโห แต่ไม่ได้ตั้งใจจะไปแก้แค้นใคร
นายอาร์ม (นามสมมุติ) รุ่นพี่ของนายศร หนึ่งในผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี บอกว่า นายศรสนิทับนายกิ๊ก มือยิงที่ยังหลบนี ตั้งแต่เด็ก เพราะทั้งคู่ชอบเล่นพนันมวยเหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาตนเห็นนายศรกับนายกิ๊กชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กระทั่งช่วงหลังเริ่มไปสนิทกับกลุ่มนายเบนซ์และบังจ๋า จึงเริ่มเข้าไปที่บ้านซ้อเอ๋
โดยนายศรเป็นคนชอบเล่นมวย ติดเที่ยวกลางคืน และติดเพื่อน จึงตามกลุ่มนายกิ๊กไปเที่ยวตลอด ซึ่งตนได้เจอนายศรก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน เห็นเจ้าตัวนั่งกินข้าวกับแม่ โดยทุกอย่างยังดูเป็นปกติ จนหลังเกิดเหตุประมาณ 2 วัน ทราบว่านายศรถูกออกหมายจับ ก็รู้สึกแปลกใจไม่คิดว่าตัวนายศรจะกล้าก่อเหตุ
โดยส่วนตัวเชื่อว่า เจ้าตัวน่าจะไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปก่อเหตุ หรืออาจจะอยู่ในกลุ่มเพื่อนแล้วไม่กล้าขัด จึงกลายเป็นผู้ร่วมก่อเหตุไปด้วย เพราะด้วยนิสัยนายศรไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายใคร โดยที่ผ่านมาแม่นายศรก็คอยเตือนให้ทำตัวเป็นคนดี ไม่ให้ไปก่อเรื่อง แต่ปัญหาหลักคือเจ้าตัวค่อนข้างติดเพื่อนจึงห้ามไม่ค่อยอยู่
นอกจากนี้ คนดูแลบ้านเช่าของนายกิ๊ก บอกว่า ตนมาเช่าอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าของนายกิ๊ก หลังเกิดเหตุนายกิ๊กหายตัวไปจากบ้านและชุมชน โดยไม่ได้ย้อนกลับมาอีก
ส่วนความเกี่ยวข้องระหว่างนายกิ๊ก กับกลุ่มเพื่อนอีก 4 คน ที่ถูกออกหมายจับพร้อมกันเคยเห็นหน้าอยู่เป็นประจำ เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นมักจะมานั่งดื่มเหล้าสังสรรค์กับนายกิ๊กที่บ้าน
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการถูกออกหมายจับมีตำรวจเข้ามาตรวจค้นหลายครั้ง แต่ไม่เจออาวุธ เจอเพียงกล่องบรรจุปืนและลูกกระสุนปืนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนิสัยใจคอนายกิ๊กถือว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนพอสมควร เพราะเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงไม่มีใครกล้ายุ่งหรือสุงสิงกับนายกิ๊ก