จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Win Weerachai" แชร์คลิปวงจรปิดชายคนหนึ่งได้เข้ามาในลิฟต์ที่ระบุว่าเกิดขึ้นที่บีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติโดยชายคนดังกล่าวได้นำมือจุ่มน้ำลายป้ายตามตำแหน่งต่างๆในลิฟต์จนทั่ว รวมทั้งควักล้วงไปในเป้ากางเกงและป้ายไปยังปุ่มกดต่างๆ ด้วย ขณะก่อเหตุยังมองกล้องวงจรปิดด้วย
กระทั่ง ตำรวจ สน.ปทุมวัน สามารถจับกุมตัวชายดังกล่าวเอาไว้ได้และควบคุมตัวชายที่ก่อเหตุดังกล่าวเพื่อมาสอบสวนซักถามตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายแล้ว โดยผู้ก่อเหตุนั้นเป็นชายชาวไทย อายุ 32 ปี จากการซักถามพบว่ามีอาการทางจิตเล็กน้อยนั้น
ล่าสุด วันที่ 21 มี.ค. ทีมข่าวอมรินทร์มทีวี ได้พยายามติดต่อไปหา นายเอ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ชายที่ปรากฏในคลิป ซึ่งเจ้าตัว ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บอกเพียงว่ายังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ เพราะผลโควิด-19 จะออก ในวันจันทร์ ที่ 23 มี.ค. จึงอยากให้สื่อมาทำข่าว เวลา 08.00 น.เท่านั้น
นอกจากนี้เจ้าตัว โดยยังฝากถึงสำนักข่าวต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอ แล้วนำภาพไปเผยแพร่ลักษณะการประจานว่า ขอให้ระมัดระวังในการเขียนข่าวและนำเสนอ เพราะตนเองไม่ใช่คนธรรมดา
จากนั้น ทีมข่าวพบความเคลื่อนไหวในเฟซบุ๊ก ส่วนตัวของหนุ่มวัย 32 ปี พบว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (21 มี.ค.) ได้มีการโพสต์ข้อความ พร้อมกับแชร์คลิปวงจรปิดซึ่งเป็นพฤติกรรมของตัวเอง พร้อมระบุว่า “ไปรายงานตัว กับเจ้าหน้าที่แล้ว รอเสียค่าปรับ” จากนั้นก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอื่น ๆ เพิ่มเติม
ด้าน น.ส.ดา (นามสมมติ) พี่สาวของหนุ่มวัย 32 ปี เปิดเผยว่า ทราบข่าวจากคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ยอมรับว่าตกใจ ไม่คิดว่าน้องชายจะก่อเหตุดังกล่าว แต่การกระทำทั้งหมดเชื่อว่าเกิดจากอาการขาดยา เพราะเจ้าตัวป่วย เป็นโรคทางจิต ต้องรับการรักษาและทานยาต่อเนื่อง ซึ่งในวันดังกล่าวคาดว่าไม่ได้ทานยา จึงทำให้มีการก่อเหตุขึ้น
น้องชายจบการศึกษาในมหาวิทยาชั้นน้ำแห่งหนึ่ง เป็นคนขยันเรียนเก่ง แต่ก็ต้องพึ่งยาจากโรงพยาบาลตลอด ส่วนเรื่องของการทำงาน ยอมรับว่าได้รับโอกาสทำงานในสถานที่ดี ๆ บริษัทดังหลายแห่ง แต่สุดท้ายโดนไล่ออกเพราะอาการป่วยจิตกำเริบ
ในฐานะคนในครอบครัว อยากจะขอโทษแทนน้องชาย ซึ่งเป็นผลมาจากอาการป่วยจิต อยากให้สังคมเข้าใจและให้อภัย เพราะคนป่วยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้