หนุ่มเมืองนนท์ผสมเจลเเอลกอฮอลล์ขาย เกิดไฟลุกไหม้รถ จยย.พังยับ

เมื่อเวลา 17.00 น.ที่ผ่านมา (29 มี.ค.) ร.ต.อ.บุญทัน พันธ์จันทร์ รอง สว.สอบสวน สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี รับแจ้งเหตุไฟไหม้รถ จักรยานยนต์ 1 คัน เหตุเกิดภายในหมู่บ้านพฤกษาวิลล์ 28 บ้านเลขที่ 72/134 หมู่ที่ 5 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี จึงพร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดนนทบุรี สรรพสามิตจังหวัดนนทบุรี สาธารณสุขตำบลเสาธงหิน รุดตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น โดยพบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นคลิ๊กสีแดง ทะเบียน อษค 534 กรุงเทพมหานคร จำนวน  1 คัน สภาพถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหายทั้งคัน โดยมีนายเทอดภูมิ กุลเภตรานนท์ อายุ 36 ปี บ้านเลขที่ 33/708 หมู่ที่ 8 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เจ้าของบ้าน ยืนรอให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากการสอบปากคำนายเทอดภูมิ ให้การว่า ก่อนหน้านี้ตนทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งทำเกี่ยวกับขายรถยนต์ แต่ตนต้องหยุดพักงานจากพิษโควิด-19 จากนั้นคนที่รู้จักกันได้ทำแนะนำให้หันมาลองผสมเเอลกอฮอลล์ล้างมือขาย ตนจึงศึกษาส่วนผสมจากร้านสารเคมีทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มเป้าหมายที่ตนขายคือกลุ่มเพื่อนสนิท ไม่ได้มีการขายผ่านทางออนไลน์หรือมีหน้าร้านแต่อย่างใด

โดยตนเริ่มทำได้ประมาณ 1 อาทิตย์แล้ว ซึ่งสามารถทำรายได้กว่า 10,000 บาท แต่รุ่นพี่ได้บอกให้ตนทำเรื่องขออนุญาตให้เรียบร้อยก่อน ตนจึงหยุดขาย โดยวันนี้ตนได้นำถังและเเกลอนที่บรรจุแอลกอฮอลล์มาล้างเพื่อทำความสะอาด จากนั้นได้เทน้ำทิ้งลงท่อระบายน้ำที่บริเวณหน้าบ้าน ขณะเดียวกันได้มีคนในบ้านสูบบุหรี่และโยนก้นบุหรี่มาที่หน้าบ้าน จึงทำให้เกิดประกายไฟขึ้น และไฟได้ลุกลามไปยังรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บริเวณหน้าบ้าน จนทำให้ได้รับความเสียหาย

นายเทอดภูมิ ยังกล่าวต่ออีกว่า ตนได้สั่งซื้อแอลกอฮอลล์มาจากนายเอ(นามสมมุติ)  ซึ่งนายเอ นำสินค้ามาจากย่านลาดกระบัง โดยสั่งซื้อแอลกอฮอล์บรรจุถัง 200 ลิตร จำนวน 2 ถัง ราคาถังละ 22,000 บาท จากนั้นนำมาผสมส่วนประกอบอีก 5 ชนิด ซึ่งหลังจากผสมเสร็จแล้วนำมาแบ่งขายเป็นเเกลอนละ 5 ลิตร ราคาแกลอนละ 165 บาท

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตนเเค่อยากจะหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวเท่านั้น และอยากฝากถึงคนที่กำลังทำอาชีพเสริมแบบเดียวกับตน ให้ศึกษาดูให้ดีก่อนและให้นำแอลกอฮอลล์ไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการบันทึกภาพที่เกิดไว้ก่อน และทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นนำตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.บางใหญ่ หากพบว่าเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ใด ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป