วันที่ 29 มี.ค. 63 ตั้งแต่ช่วงกลางวันที่ผ่านมา ผู้ต้องขังอาศัยช่วงที่ผู้คุมเรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ กำลังปรับปรุงห้องกักโรคโควิด-19 ก่อเหตุเผาทำลายสถานที่ จุดแรกเริ่มที่โรงเลี้ยงอาหาร และก่อเหตุจลาจล มีผู้ที่แหกคุกหลบหนีออกไปได้ โดยเจ้าหน้าที่ระดมกำลังรถดับเพลิงเข้าฉีดสกัดเพลิงไหม้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผู้ต้องขังก่อเหตุร่วม 100 คน
เวลา 20.30 น. ด้านหน้าเรือนจำบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลัง เพื่อดูแลควบคุมสถานการณ์ ตำรวจภูธรภาค 3 รับนักโทษในเรือนนอนให้ออกมานั่งเรียงกัน บริเวณรั้วด้านนอก ก่อนทยอยให้ขึ้นรถไปเรือนจำปลายทาง ได้แก่ เรือนจำอุดรธานี เรือนจำยโสธร เรือนจำนครราชสีมา ซึ่งรถสามารถนำนักโทษไปได้ครั้งละ 40-45 คน ต่อ 1 คัน
ด้านนางโสพิดา อายุ 47 ปี แม่ของนักโทษที่เฝ้าดูสถานการณ์หน้าเรือนจำ กล่าวว่า ตนเองมารอตั้งแต่ทราบว่าเกิดเหตุ มีความเป็นห่วงและกังวล ยิ่งรู้ว่ามีเสียงปืน มีการการเผาอาคารนอน ตนเองยิ่งนอนไม่หลับ อยากเฝ้ารอการเคลื่อนย้ายจนกว่าจะเห็นหน้าลูกแล้วกลับไปบ้านได้ ทั้งนี้ ตนไม่โกรธกลุ่มก่อจลาจล เพราะเข้าใจสถานการณ์ ใครทราบข่าวเรื่องโควิค-19 ก็ต้องกลัว ขอเพียงตอนนี้ลูกตนเองปลอดภัยก็พอ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ กู้ภัย ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและรถน้ำ ตำรวจชุดปรายจลาจล เจ้าหน้าที่การไฟฟ้า และเจ้าหน้าที่ทหารมณฑลทหารบกที่ 26 จำนวน 54 นาย
พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ล่าสุดควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว มีการควบคุมนักโทษที่หลบหนี 10 คนได้ครบแล้ว ทราบว่าบุคคลที่เป็นแกนนำนักโทษหลบหนี คือนักโทษประหารชีวิต โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.30 น. นักโทษมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องอาหาร และห้องเยี่ยมญาติ จากนั้นทุบกำแพงห้องเยี่ยมญาติเพื่อหลบหนี โดยมีจำนวน 10 คน ที่หลบหนีออกไปได้ จากนั้นก่อเหตุเผาอาคารต่าง ๆ ทำลายห้องเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ อาคารนอน รวมถึงอาคารภายในเรือนจำบุรีรัมย์ได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรือนพยาบาล ล่าสุดสามารถเคลื่อนย้ายนักโทษชายไปแล้วได้ 1,500 คน และนักโทษหญิงอีก 200 คน ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงกับนักโทษ
อย่างไรก็ตาม นักโทษชายที่หลบหนีออกจากเรือนจำก่อนถูกจับได้แล้วนั้น หนึ่งในนั้นคือนายอนุภาพ รัตน์ประโคน อายุ 26 ปี
นางแต๋ว อายุ 61 ปี แม่ของนักโทษ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ลูกชายตนเองติดคุกข้อหายาเสพติดมานานหลายปีแล้ว ตนไม่คิดว่าลูกชายจะกล้าทำแบบนี้ ตนเองเสียใจและตกใจ สภาพจิตใจแย่ วันนี้หลังจากลูกแหกคุก ลูกก็ยังไม่เดินทางกลับบ้าน ตนก็กำลังรอให้ลูกกลับมาเช่นกัน เพราะกลัวเจ้าหน้าที่จะวิสามัญลูกชายจนเสียชีวิต อีกทั้งหลังจากเกิดเรื่องชาวบ้านก็ต่างเข้ามาถามไถ่ตนเป็นจำนวนมาก
จากนั้น เจ้าหน้าที่ติดตามเจอเสื้อผ้าชุดนักโทษที่ถอดทิ้งไว้ใกล้โรงแรม ห่างจากเรือนจำประมาณ 450 เมตร จึงตามมาจับกุมตัวได้ในที่สุด
ส่วนอีกหนึ่งผู้ต้องขังที่หลบหลี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้แล้วคือ นายกิตติพล สังวาลย์รัมย์ อายุ 29 ปี ถูกคุมตัวขณะกำลังหลบหนี
นางกนกวรรณ มณีทอง อายุ 54 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.11 ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า นายกิตติพล ผู้ต้องหาคดียาเสพติดที่อยู่ในหมู่บ้าน ตนก็เคยเห็น แต่ก็ไม่ได้สนิทกับครอบครัวนายกิตติพล หลังเกิดเรื่องแหกคุก ตนก็เพียงไปถามไถ่ทางบ้านของนายกิตติพล ทางญาติก็บอกว่านายกิตติพลถูกจับกุมตัวไปได้แล้ว และทางญาติไม่ได้กังวล ส่วนลูกบ้านคนอื่น ๆ ก็ต่างตกใจกัน
“เดลี่เมล์” เว็บไซต์ข่าวชื่อดังของอังกฤษ รายงานข่าวว่า ผู้คนทั่วโลกต่างตกตะลึงและพากันติดตามข่าวการแหกคุกหลบหนีที่เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ ที่เป็นสถานที่คุมขังนักโทษมากกว่า 2,000 คน เนื่องจากที่ถือเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่เหล่านักโทษก่อเหตุจลาจล และแหกคุกหลบหนีออกจากเรือนจำที่แออัด เพราะกลัวจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19
เดลี่เมล์ระบุว่า นอกเหนือจากความกลัวว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ส่วนหนึ่งยังมีสาเหตุมาจากการที่ทางเรือนจำประกาศมาตรการห้ามญาติมาเยี่ยมนักโทษ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสด้วยเช่นกัน ทำให้นักโทษเกิดความเครียดที่ไม่ได้พบหน้าคนในครอบครัว
นอกจากนี้ เหตุจลาจลและการแหกคุกของนักโทษที่เรือนจำบุรีรัมย์ เกิดขึ้นเพียงแค่ 1 สัปดาห์หลังจากที่นักโทษในเรือนจำที่กรุงโบโกต้าของโคลอมเบีย ก่อจลาจลและแหกคุกหลบหนี เพราะกลัวเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีนักโทษเสียชีวิตไปอย่างน้อย 23 ราย
ขอบคุณรายงานข่าวเดลี่เมล์
https://www.dailymail.co.uk/wires/afp/article-8164657/Virus-fears-spark-Thailand-prison-riot.html