ความคืบหน้าคดีที่ครอบครัวนักเพาะกายหญิง ทีมชาติไทย อ้างว่าถูกนายกเทศมนตรีแห่งหนึ่ง กับพวก ในจังหวัดสมุทรปราการ ข่มขู่รีดเงิน 20,000,000 บาท ล่าสุดเข้าพบรองปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอคุ้มครองพยาน พร้อมเปิดคลิปเสียงที่เจรจาต่อรองราคา
ล่าสุด วันนี้ (2 ต.ค.60) ที่กระทรวงยุติธรรม นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการทำบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้พา น.ส.กมลวรรณ จารุไพโรจน์ หรือ "น้ำหวาน" นักกีฬาเพาะกายหญิงทีมชาติไทย พร้อมนางสุนันท์ จารุไพโรจน์ มารดาของน้ำหวาน ได้เข้าร้องขอให้คุ้มครองพยาน และขอให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ซึ่งมี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบกรณีของ น.ส.กมลวรรณ ที่อ้างว่าถูกกลุ่มคนที่เป็นข้าราชการท้องถิ่น ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เรียกรับเงินก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์โดยมี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องไว้
นางสุนันท์ กล่าวว่า ตนได้ทำโครงการก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มูลค่ากว่า 80,000,000 บาท โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง ได้แนะนำนายช่างโยธาให้มาดำเนินการเขียนแบบ และรับเหมาก่อสร้าง
โดย นางสุนันท์ เชื่อใจทางเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจาก คิดว่าคนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐไม่น่าจะทำผิดระเบียบก่อสร้าง สำหรับการก่อสร้างเริ่มเมื่อปี พ.ศ.2550 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2556 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2557 เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่จ.สมุทรปราการ ได้เรียกรับเงิน 20,000,000 บาท แต่ตนไม่ยอม และพยายามเจรจา ทางเจ้าหน้าที่รัฐจึงขอเรียกรับเงินเพียง 5,000,000 บาท แต่ตนไม่ยอมจ่าย เพราะมั่นใจว่าที่ผ่านมาได้ก่อสร้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
กระทั่งเมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางเทศบาลได้นำป้ายมาติดห้ามใช้อาคาร และห้ามบุคคลภายนอกเข้าออก
เพื่อเตรียมรื้อถอน นางสุนันท์ จึงไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งกับเทศบาลแต่ไม่เป็นผล จึงเดินทางไปฟ้องร้องศาลปกครอง เพื่อยกเลิกคำสั่งรื้อถอนอาคาร และเข้าเเจ้งความที่กองปราบเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเชื่อว่าถูกวางยาในการก่อสร้างอาคารเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์ โดยมีปัญหาการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบเดิมที่กำหนดไว้ นางสุนันท์ กล่าว
ทางด้าน
นายจริญ เอี่ยมยัง ประธานสภาเทศบาลตำบลบางพลีน้อย เจ้าของเสียงที่ปรากฎในคลิปเรียกรับเงินจำนวนหลักสิบล้าน กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนสนิทกับ นางสุนันท์ เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าว และทราบถึงปัญหาความขัดแย้งที่มีมานานแล้ว ระหว่างเจ้าของปั๊มแก๊สที่ร้องเรียนว่าอพาร์ทเม้นท์ก่อสร้างผิดแบบ
นายจริญ บอกอีกว่า ที่ต้องมายุ่งเกี่ยวเรื่องดังกล่าว เพราะสนิทกับ นางสุนันท์ และคุ้นเคยกันในฐานะเพื่อนบ้าน
แม้กระทั่งลูกยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย จึงได้ไปขอให้ทหารเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยกัน โดยทางทหารได้ให้ทางเทศบาลทำหนังสือเชิญทั้งเจ้าของปั้มแก๊ส และนางสุนันท์ มาหารือ มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาเข้าร่วมรับฟัง แต่ผลสุดท้ายกลับหาทางออกสำหรับเรื่องดังกล่าวไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอม
ภายหลังจากการหารือเสร็จสิ้น นายจริญ พบว่า ตัวแทนทางปั้มแก๊สได้เดินลงบันไดเพื่อจะเดินทางกลับ และได้ยินทางตัวแทนปั้มพูดว่า "วันนี้ นึกว่ามาแล้วจะได้เงินสัก 10,000,000 - 20,000,000 บาท กลับไป" ซึ่งน่าจะเป็นการพูดที่ไม่มีเจตนาอะไร เหมือนเป็นการพูดเล่น และพูดลอยๆ แต่ตนดันได้ยิน
นายจริญ บอกอีกว่า ตอนแรกที่ได้ปล่อยเรื่องดังกล่าวไป เพราะเป็นแค่คำพูดผ่านหู แต่หลังจากนั้นได้คิดต่อว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องดังกล่าวยุติ และคิดเองว่าถ้ามีการให้เงินกับฝั่งปั้มแก๊ส เพราะอาจจะมีหนทางยุติลงได้เพื่อจะได้ไม่มีการฟ้องร้องกันไปมา
ส่วนเหตุผลที่โทรศัพท์ไปเล่าให้นางสุนันท์ เป็นเพราะ นางสุนันท์ คือเพื่อน และได้บอกไปว่า ตนได้ยินมาเช่นนี้
จุดประสงค์ต้องการให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ และเป็นการเล่าสู่กันฟังส่วนตัว ไม่ได้เป็นตัวแทนใครทั้งสิ้น
แต่ขณะนี้กลับถูกโยงว่า เป็นขบวนการหน่วยงานภาครัฐ
นายจริญ บอกอีกว่า หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้ คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเรื่องนี้ตนเป็นคนสื่อสารออกไป และไม่รู้ว่ามีการอัดคลิปไว้ด้วย ซึ่งบทสนทนาในคลิป ตนคุยกับ นางสุนันท์ ไปเกือบปีแล้ว และยอมรับว่า รู้สึกเสียใจว่าทำไมการสื่อสาร และความหวังดีของตน กลายเป็นสิ่งที่ไปถูกใช้โจมตีคนอื่น ซึ่งภายหลังจากมีคลิปเสียงเผยแพร่ออกไป ตนไม่กล้าที่จะคุยกับนางสุนันท์อีก เพราะไม่รู้ว่านางสุนันท์จะยังเห็นตนเป็นเพื่อนหรือไม่ ซึ่งวันนี้ผลกระทบมาตกอยู่ที่ตนจนทำให้รู้สึกแย่
ขณะเดียวกัน นายจริญ ได้อธิบายเรื่องนี้กับทางนายกเทศมนตรี ตำบลบางพลีน้อย ให้ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นไร หลังจากที่นายกเทศมนตรี ถูกกล่าวหาว่า เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรีดไถเงิน อย่างไรก็ตามที่ตัดสินใจพูดในวันนี้ เพราะไม่อยากให้ความจริงผิดเพี้ยนไป รวมถึงยินดีจะให้ข้อมูลข้อเท็จจริง กับทุกคนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ