กลายเป็นกระแสฮือฮา หลังมีกระแสข่าวออกมาว่า ประชาชนผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งจากทั่วประเทศ แห่เข้ารับยาสมุนไพรของนายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือ "หมอแสง" ที่มีประชาชนบางรายบอกว่าทานแล้วบางคนอาการดีขึ้นนั้น
ล่าสุด วันนี้(4 ต.ค.60) ทีมข่าวเดินทางไปพบกับนายอำพร งามเจริญ อายุ 63 ปี ที่ป่วยเป็นมะเร็งอัณฑะ และได้เดินทางไปพบแพทย์ที่ดรงพยาบาล แล้วแพทย์แจ้งว่าต้องผ่าตัดอัณฑะ ซึ่งนายอำพรก็เข้ารับการรักษาปกติ ภายหลังจากผ่าตัดได้ 6 เดือน ก็ได้รู้จักกับยาของ "หมอแสง" จึงได้ไปต่อคิวรับยา แล้วเมื่อนายอำพรได้ทานยากลับทำให้ร่างกายดีขึ้น ปกติจากที่ซูบผอม เนื่องจากอาการป่วย แต่ภายหลังกลับกินข้าว และทำงานตามปกติได้
นายอำพร บอกอีกว่า หมอที่โรงพยาบาลเคยบอกตนว่าเมื่อผ่าตัดรักษามะเร็ง จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีก 1 ปี 6 เดือน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เนื่องจากจะตายก็ตาย และนี้ก็เลยตามคำพูดหมอมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งหมอบอกตนว่า นี้ถือเป็นกำไรชีวิตแล้ว
ทั้งนี้ ยังมีหมอบอกตนอีกว่า มะเร็งได้ลามไปทั่วร่างกาย จนถึงขั้นเข้ากระดูก และอีก 2 ปี จะไม่สามารถเดินได้ เพราะกระดูกพรุน แต่ตอนนี้เมื่อกลับไปตรวจร่างกาย แพทย์จะไม่ระบุในใบรับรองแพทย์แล้วว่า ตนเป็นผู้ป่วยมะเร็ง จึงทำให้ต้องขอให้หมอเขียน เพราะกลัวจะนำมาขอรับยา "หมอแสง" ไม่ได้
นายอำพร ยังบอกอีกว่า หลายคนอาจมองว่าตนงมงาย หรือจะว่าตนไปหลงเชื่อยาพวกนี้ก็ได้ แต่บอกความเชื่อถือมันอยู่ที่ใจของตนเอง
ขณะที่
น.ส.รุจิรัฏฐ์ ส่วนสมพงษ์ อายุ 50 ปี ภรรยาของนายมิตรชาย โอภาสเพิ่มพงศ์ อายุ 51 ปี สามีป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เมื่อช่วงต้นปีพ.ศ. 2559 สามีมีอาการอ่อนเพลีย จึงไปให้หาหมอที่โรงพยาบาล โดยหมอตรวจพบก้อนเนื้อขนาด 7 ซม. ภายในปอดของสามี จึงได้ทำการรักษาด้วยการทำคีโม ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2559 ทำให้ก้อนเนื้อยุบลง
ต่อมาเดือนตุลาคม พ.ศ. 2559 หมอได้นัดตรวจร่างกาย แล้วพบว่าปอดมีรอยรั่ว จึงพาไปพบหมอที่รักษาปอด แล้วทำการเจาะน้ำในปอด ผลออกมาก็ปกติ
หลังจากนั้นได้ไปหาหมอรังษี แล้วพบว่า เป็นผังผืดที่เกิดขึ้นจากการฉายแสง แต่หมอมะเร็งบอกว่าต้องทำคีโม ด้วยสูตรใหม่ที่แรงกว่าเดิม สามีจึงถามหมอว่า "ถ้าทำแล้วจะหายหรือไม่" หมอจึงบอกว่า "เบื้องต้นต้องรักษาไปตามอาการ แต่ไม่รับปากว่าจะหายหรือไม่" ทำให้สามีปฏิเสธการรับคีโม และเมื่อถามหมอว่า สามีจะอยู่ได้อีกกี่เดือน หมอบอกว่า 6 เดือน ไม่เกิน 8 เดือน
หลังจากนั้น สามีจึงได้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน แล้วได้เดินทางไปรับยาสมุนไพร ที่ จ.กาญจนบุรี มากิน กลับพบว่าอาการดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง สามีสามารถเดินได้ ไม่มีอาการกำเริบ หลังจากนั้นต้นปีพ.ศ. 2560 สามียังตรวจพบว่าอีกว่าเป็นมะเร็งลำไส้
โดยประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีเพื่อนส่งลิงค์ข่าว และเฟซบุ๊กคนรักหมอแสงมาให้ดู ตนและสามีจึงสนใจ จากนั้นเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงตัดสินใจไปรับยาของ "หมอแสง" และได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง ทั้งลงบันทึกประจำวัน ยืนยันว่าจะไม่เอาผิด "หมอแสง" เมื่อสามีได้ยาสมุนไพรของ "หมอแสง" ที่เป็นแคปซูลสีฟ้าขาว มาจำนวน 12 เม็ด ที่ต้องทานวันละ 1 เม็ดก่อนนอน แต่ปรากฎว่ากินไปได้ 10 เม็ด อาการสามีทรุดลง ไม่มีแรง ทรงตัวไม่ได้ ต้องนอนติดเตียง ตอนนี้จึงหยุดกินยา
ทั้งนี้ น.ส.รุจิรัฏฐ์
บอกว่า ที่ออกมาพูดไม่ได้ต้องการออกมาแฉหรือประจาน เพราะเข้าใจดีว่า ทุกคนต้องการจะหาย ต้องการจะมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด จึงต้องไปทุกที่ที่มีคนบอกว่าดี แต่ก็อยากให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่จะไปรับยาคิดและชั่งใจ เพราะบางรายอาจจะไม่แค่ทรุด อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม น.ส.รุจิรัฏฐ์ ตั้งข้อสงสัยอีกว่า การที่ต้องไปลงบันทึกประจำวัน เป็นการเอื้อผลประโยชน์กันทางธุรกิจหรือไม่ เนื่องจากการลงบันทึกประจำวันต้องเสียเงินคนละ 20 บาท และไม่สามารถลงบันทึกประจำวันที่อื่นได้ ต้องลงที่ สภอ.ปราจีนบุรีเท่านั้น โดยเดือนหนึ่งจะแจก 1 ครั้ง ครั้งละ 3,000 คน เท่ากับว่า สภอ.ได้เงิน 60,000 บาทต่อเดือน สำหรับการเดินทางไปจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย ตั้งโต๊ะรับเฉพาะคนที่มาลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับการรับยาหมอแสงโดยเฉพาะ
ขณะที่ ทีมข่าวได้โทรศัพท์สอบถาม "หมอแสง" เจ้าของสูตรสมุนไพรรักษามะเร็ง เผยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยบอกผู้ช่วยคนไหนให้มารักษากับตน แต่จะบอกให้ไปหาหมอ ไปรักษาที่โรงพยาบาลก่อน แล้วค่อยมาหาตน ถึงขนาดที่ตนพูดว่า "ทางเลือกตายให้มาหาที่ตน" หมายความว่า ผู้ป่วยที่โรงพยาบาลไม่รับรักษาแล้ว หรือ หมดทางเลือกแล้วให้มาที่ตน
ส่วนเรื่องหากมีผู้ป่วยได้รับผลกระทบจากยาตน "หมอแสง" ระบุว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาร้องเรียน เพราะตนไม่ได้รักษา เป็นเพียงแบ่งปันยาสมุนไพรให้เท่านั้น และเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ที่สำคัญหากมีคนแพ้ยา ส่วนตัวไม่คิดว่าจะแพ้ เนื่องจากส่วนผสมไม่ได้มีอะไรมาก เพราะมีเพียงลำข้าว
ทั้งนี้ "หมอแสง" ถามกลับว่า "เคยเห็นใครกินข้าวแล้วแพ้ตายไหม" ส่วนตัวจึงไม่ได้มองเรื่องประเด็นนี้ไว้