วันที่ 5 พ.ค.63 คุณท็อปและคุณไทด์ บรรลือฤทธิ์ ฝาแฝดใจบุญ ปฏิบัติภารกิจแจกเงินให้ชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ ด้วยมือตัวเอง โดยวันนี้ไปถึง 2 ชุมชนด้วยกันคือ ชุมชนหัวรถจักร มี 330 ครัวเรือน ประชากร 1,300 คน และ ชุมชนสวัสดิรักษา 125 ครัวเรือน ประชากร 450 คน ซึ่งใช้เงินทั้งหมด 5 แสนบาท
คุณท็อปและคุณไทด์ บอกว่า ตลอดร่วม 1 เดือนที่เดินแจกปัจจัยมีทั้งความสุขและความทุกข์ปนไปด้วย เพราะแรก ๆ กังวลว่าจะแจกไม่ครบทุกชุมชน และกลัวเงินไม่พอ แต่สุดท้ายก็มีเงินบริจาคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานมีพี่น้องจากประเทศอังกฤษ โอนเงินมาสมทบทุนอีก 3 หมื่นบาท และตนเตรียมควักกระเป๋าตัวเองช่วยภารกิจนี้เพิ่มอีก 1 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่เกิดวิกฤตนี้ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าผู้คนลำบากกันขนาดไหน ทำให้รู้ว่าจะร่ำรวยไปทำไม จะเห็นแก่ตัวไปทำไม ใครมีเยอะก็ควรเอามาแบ่งปันกัน คนไทยควรช่วยเหลือกัน อย่ามัวพึ่งรัฐบาลเพราะเขาก็งานหนัก คนรวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย น่าจะออกมาดูแลกลุ่มคนเหล่านี้ อย่าคิดว่าไม่มีสื่อแล้วไม่มีประโยชน์การที่ทำแล้วไม่มีคนเห็นเป็นสิ่งที่ดีมาก
ตลอด 1 เดือนเต็มได้เห็นความเป็นอยู่ของพี่น้องในหลาย ๆ ชุมชน คิดตลอดจะช่วยคนเหล่านี้อย่างไร ชาวบ้านบางคนต้องทนอยู่กับอึและฉี่ซึ่งอยู่มานานจนชิน บ้านพักไม่มีอาศัยเพิงหลัยนอน และพวกเขาคิดอย่างเดียวว่าวันนี้จะเอาอะไรกินหรือจะมีใครมาหรือไม่ ซึ่งเคสเหล่านี้พวกตนจะกลับมาช่วยเหลือหลังโควิด-19 หายไป โดยตั้งใจจะรื้อบ้านแล้วสร้างให้ใหม่ อย่างไรก็ตามมีอีกหลังหนึ่งที่พวกตนทำเสร็จเรียบร้อย แล้ว เป็นเคสที่ชุมชนบางขุนนนท์ กำลังจะไปส่งมอบในเร็ว ๆ นี้ และยังมีที่ชุมชนยมราชอีกหลายหลังที่จะไปทำให้ ภารกิจไม่ใช่แค่แจกเงินเท่านั้น แต่ยังตามไปทำในสิ่งที่เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ หากใครไม่มีปัจจัย แต่มีวัสดุอุปกรณ์แล้วอยากจะช่วยเหลือก็ติดตามได้จากเพจเฟซบุ๊กของตน
สำหรับครอบครัวที่ คุณท็อปและไทด์ จะกลับมาช่วยเหลืออีกรอบด้วยการทำที่อยู่ให้ใหม่ก็คือ 2 ชายพิการ คุณบาส และคุณหมู โดยความเป็นอยู่ตอนนี้ ทั้งคู่อาศัยอยู่ในห้องเก่า ๆ ที่มีหลังคาผุพังเวลาฝนตก 2 พี่น้องจะต้องนอนเปียก ยามดึกก็มักจะมีงูเห่าเลื้อยเข้ามาเป็นประจำ นอกจากนี้กลิ่นยังเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเพราะทั้งอึและฉี่
คุณปู สุธิญา จารุศักดิ์ ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของชายทั้งสองคน บอกว่า น้องชายที่ชื่อหมู พิการตั้งแต่กำเนิด ขาลีบทำให้ไม่สามารถเดินได้จนถึงตอนนี้อายุ 48 ปี และยังเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อ 1 ปีก่อน อยู่ ๆ ก็เสียงหายไม่สามารถพูดได้ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยอะไร ส่วนน้องชายอีกคนชื่อบาส ก็พิการเช่นเดียวกันเดินเหมือนเด็กต้องเกาะไปเรื่อย ๆ
ตนต้องรับหน้าที่ดูแลน้องชายทั้งสองคน เพราะพ่อแม่เสียชีวิตไปหมดแล้วตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อน ตอนนี้อยากจะได้บ้านใหม่เพราะอยู่กันอย่างลำบากมาก ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็แทบจะไม่มี เพราะตนหาข้าวจากที่วัดมาให้ประทังชีวิตในแต่ละวัน ตอนนี้เดือดร้อนพเราะน้องชายที่พิการต้องอึและฉี่บนที่นอน โดยวันนี้คุณท็อปและคุณไทด์ ได้ให้เงินน้องชายคนละ 1 พันบาท ซึ่งเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้ไปพูดคุยกับอีกหนึ่งครอบครัวซึ่งอยู่กันลำพัง 2 ตายาย คือคุณตาสนอง วัย 75 ปี และคุณยายสำลี วัย 72 ปี ซึ่งทั้งสองคนก็โอดโอยว่าเบี้ยยังชีพคนชราไม่พอใช้ จนคุณตาวัย 75 ปี ต้องเก็บขวดขายเพื่อหาเงินมาประทังชีวิต
โดยทั้งสองคน บอกว่า ตอนนี้ได้รับเงินจากเบี้ยยังชีพคนชราคนละ 700 บาท ซึ่งไม่พอใช้จ่ายในแต่ละเดือน ทำให้มีความลำบากมาก ยิ่งในช่วงสถานการณ์แบบนี้ต้องอาศัยกินของแจกฟรี หากมีข้าวกล่องก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีก็ต้องเอาข้าวสารและไข่ไก่ที่แจก มาทำกินประทังชีวิตในแต่ละวัน
ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องช่วยหาเงินเข้าครอบครัว ด้วยการเก็บขวดขาย 1 กิโลกรัมได้เพียง 4 บาทเท่านั้น สำหรับวันนี้ที่ได้เงินมา 500 บาท ก็จะนำไปซื้อของกินในแต่ละวัน ซึ่งช่วงนี้ข้าวของก็แพงขึ้นมากคงอยู่ได้ไม่น่าเกิน 5 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่คุณท็อปและคุณไทด์กำลังเดินแจกเงินในชุมชนได้เห็นชายจรจัดคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ริมคลอง ทั้งคู่ก็ตะโกนถามด้วยความห่วงใยว่าเอาเงินไหมหรือจะเอาข้าว ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ตะโกนตอบกลับมาว่าเอาข้าวครับ สำหรับยอดแจกเงิน 25 วัน รวมทั้งสิ้น 11.05 ล้านบาท