จากกรณีชาวบ้านป่ามะกรูด ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก 4 คน หลงป่าขณะขึ้นไปหาเห็ด และของป่าบนเทือกเขาลำพาด หรือเทือกเขาจอมปลวก ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 พ.ค. 63
ประกอบด้วย นางแดง ชัยชนะ อายุ 43 ปี, นายวิโรจน์ ชัยชนะ อายุ 45 ปี, นางทองรัตน์ กัญญาประสิทธิ์ อายุ 45 ปี และ ด.ช.ปัญญา น้อยอินทร์ อายุ 13 ปี ซึ่งวันที่ 17 พ.ค. 63 ได้พบผู้สูญหายทั้งหมด และปลอดภัยดีอาศัยอยู่ในป่า ก่อนจะช่วยเหลืออกมาได้ในวันที่ 18 พ.ค. 63 ด้วยเฮลิคอปเตอร์อย่างปลอดภัย พร้อมกับสุนัขอีก 3 ตัว รวม 7 ชีวิต
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เผยภาพระทึกช่วย 4 ชีวิตติดป่า-อึ่ง 3 ตัวทำรอดตาย สุดพิศวง ฮ.บินไม่ได้ยิน
- เปิดตำนานถ้ำขุนอภัย เด็ก 13 ติดป่ารอดได้เพราะสัญญาจะถือศีล
- เปิดอาถรรพ์ติดป่า 6 วัน เจอชายยักษ์นุ่งโจงกระเบนขัง 4 ชีวิต ต้องขมาถึงรอด
- เปิดใจหน่วยรบพิเศษบุกป่าพา 4 ชีวิตรอด “ป้าแดง” รับพลั้งปากด่า หวิดทำตายหมู่
- พรานเชื่อ 4 ชีวิตหลงป่าเจออาถรรพ์เมืองลับแล โชว์ “ผมนางไม้”อธิษฐานขอทำยาพบทางออก
วันที่ 20 พ.ค. 63 นายบุญยืน น้อยอินทร์ พ่อของ ด.ช.ปัญญา ผู้หลงป่า กล่าวว่า ลูกชายออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ เจ้าตัวก็ร่าเริงและแข็งแรงดี เพราะมีกำลังใจจากเพื่อน ๆ ที่เข้ามาเยี่ยม
วันนี้ได้นำผลไม้ไปถวายพระที่สำนักสงฆ์บ้านป่ามะกรูด หลังเคยบนบานเอาไว้ว่าหากลูกชายออกจากป่ามาได้ จะถวายอาหารคาวหวาน พร้อมทั้งให้พระรดน้ำมนต์ให้ลูกชายด้วย หลังจากนี้ จะเป็นขั้นตอนการเตรียมพิธีบวช วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค. 63
นายบุญยืน กล่าวต่อว่า หลังมีข่าวออกไปก็มีกระแสที่โจมตีครอบครัวตน ว่าหลงป่าแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนออกตามหา ซึ่งตนอยากบอกว่า ตนไม่ได้สร้างภาพ เพราะไม่มีใครอยากหลงป่า และไม่คิดว่าจะกลายเป็นข่าวใหญ่ ในช่วงแรกตนติดต่อมูลนิธิต่าง ๆ ไป ก็เพราะอยากให้ช่วยกันหาตัวลูกชายกับญาติออกมาให้เร็วที่สุด ไม่คิดว่าจะใช้ระยะเวลานานจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ และตนขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือ
ด.ช.ปัญญา น้อยอินทร์ อายุ 13 ปี ผู้หลงป่า เปิดเผยว่า ตั้งแต่ออกจากป่ามา ตนก็นอนหลับสนิททุกคืน ไม่เคยฝันร้ายอีกเลย ยอมรับว่าตอนนี้ยังรู้สึกกลัวว่าผีป่าจะตามกลับมาที่บ้าน จึงพยายามจะบวชให้เร็วที่สุด เพื่อทำตามสัญญาที่ได้บนบานเอาไว้ ซึ่งตนจะบวชในวันที่ 24 พ.ค. นี้ ที่วัดวังนกแอ่น ประมาณ 14-15 วัน เพราะถ้าไม่บวชตามที่สัญญากับเจ้าป่าไว้ เขาก็อาจจะตามกลับมาที่บ้าน หรือไม่ก็อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับตน
ตลอดเวลาที่หลงป่านั้นตนไม่ได้พบเจอใครเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่นายปิยะ พี่ชายของตนได้ยินเสียงตนพูดว่า "เออ ๆ" เป็นการขานตอบรับ ทั้งที่ตนไม่ได้เจอกับใคร ไม่ได้ยินเสียงคนเรียก และตนเป็นเด็กที่ไม่พูดคำว่า "เออ" อีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่พี่ชายได้ยินนั้น ไม่ได้เกิดมาจากตนอย่างแน่นอน และตนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่พี่ได้ยินเกิดมาจากอะไร รวมถึงช่วงกลางวันที่ฝนตก มีหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นแสงอาทิตย์จนไม่รู้เวลา คล้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์บังตา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ทั้งนี้ เมื่อตอนอยู่ในป่า สภาพอากาศก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน เหมือนตอนกลางคืน เมื่อฝนตกอากาศก็หนาวมาก ๆ จนทุกคนต้องหยุดเดินกัน และตนก็จะได้เป็นคนที่นอนตรงกลางเสมอ เพราะญาติ ๆ ก็กลัวตนจะได้รับอันตรายจากกองไฟและสัตว์ป่า โดยมีเพียงตระกุดห้อยคอและขี้ผึ้งเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวขอพรให้ช่วยออกจากป่าให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนได้นำตะกรุดที่ได้มาจากสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิมาห้อยคอไว้ เพราะเชื่อว่าจะสามารถปกปักคุ้มครองรักษาตนได้
ด้านนายปิยะ จันทรา อายุ 27 ปี พี่ชายของ ด.ช.ปัญญา เปิดเผยว่า ย้อนกลับไปช่วงกลางคืน วันที่ 16 พ.ค. 63 ตอนที่ยังไม่เจอกลุ่มคนหลงป่า ตนและชาวบ้าน เจ้าหน้าที่รวม 7 คน ได้ออกเดินตามหาบริเวณป่ารกทึบ หลังถ้ำขุนอภัย ซึ่งระหว่างออกเดินตามหา ป่าก็เงียบสงัด ตนพยายามกู่ร้องเรียกชื่อ "น้องโบ๊ท น้องโบ๊ท" ก็มีเสียงของน้องชายตอบกลับมาว่า "เออ ๆ" ซึ่งทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน ต้นเสียงห่างออกไปประมาณ 20 วา ทุกคนจึงเริ่มเดินไปตามเสียง เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงต้นยางขนาดใหญ่ที่ยืนต้นสูงคู่กัน 2 ต้น ท่ามกลางป่าใหญ่รกทึบ แต่เสียงกลับเงียบหายไป และไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ซึ่งในวันนั้น ทีมของตนก็ปักหลักนั่งรอที่ใต้ต้นยางทัน และไม่ยอมเดินตามแผนของเจ้าหน้าที่ที่วางไว้ เพราะในตอนนั้นตนก็เชื่อว่ากลุ่มคนหายจะต้องอยู่ในบริเวณนั้นแน่นอน แต่ตนก็รอจนถึงตอนเช้า ก็ยังไม่มีวี่แววของกลุ่มคนหลงป่า กระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 17 พ.ค. 63 เจ้าหน้าที่ก็บินเฮลิคอปเตอร์ตามญาติของตนจนเจอ ตอนนั้นตนงงมาก เพราะจุดที่เจอกลุ่มคนหลงป่าอยู่คนละทิศทางกับที่ตนอยู่ รวมถึงอยู่ห่างออกไปหลาย 10 กิโลเมตร ซึ่งตนก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ตนได้ยินเสียงน้องชาย เป็นผีป่าผีเขาที่พยายามหลอกล่อให้ตนเดินค้นหาผิดทิศทาง
อย่างไรก็ตาม สำหรับป่าในบริเวณนั้น ชาวบ้านมีความเชื่อว่ามีเจ้าป่าเจ้าเขาปกปักอยู่ และจะหวงของป่า สัตว์ป่ามาก ๆ ซึ่งตนก็เชื่ออย่างนั้น นอกจากนี้ ขณะที่ตนเดินค้นหากลุ่มคนหลงป่า ก็บนบานกับเจ้าป่าเจ้าเขาว่าถ้าทุกคนในครอบครัวออกจากป่ามาอย่างปลอดภัย ตนก็จะบวชให้ 7 วัน ซึ่งตอนนี้ตนก็เตรียมตัวบวชที่วัดวังนกแอ่น
สำหรับความเชื่อที่เป็นสาเหตุให้หลงป่านั้น อาจเป็นการกระทำบางอย่างที่เผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว ที่นางทองรัตน์ เดินสะดุดเหยียบเครือสาวหลงแล้วอุทานว่า "เครือเ-ี้ยอะไรเนี่ย" 4 ครั้ง แม้แต่การที่ทุกคนขับถ่ายในป่า โดยอาจจะไม่ได้ขอเจ้าป่าเจ้าเขา ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โกรธแล้วลงโทษไม่ให้ออกจากป่าหรือไม่ แต่เมื่อมีการขอขมาจึงออกจากป่ามาได้