จากกรณีที่มีกลุ่มวัยรุ่น เข้าไปลงมือทำร้ายร่างกายคู่อริ ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร และมีการยิงปืนข่มขู่ด้านหน้าโรงพยาบาล 12 นัด ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว 7 ราย หนึ่งในนั้นคือ นายชาคริต นกขำดี หรือ "เฟิร์ส" อายุ 18 ปี
ล่าสุด วันนี้ (7 พ.ย.60) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่มาที่สภ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เพื่อตามความคืบหน้าคดีกลุ่มวัยรุ่นบุกเข้าทำร้ายคู่อริภายในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลกระทุ่มแบน และยิงปืนข่มขู่จนสร้างความแตกตื่นให้กับแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยคนอื่นๆ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ภายหลังสามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว 7 ราย
ต่อมาพล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ได้คุมตัวกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 7 คนไปทำแผนที่โรงพยาบาลและพบว่าบางรายมีคดีติดตัวอยู่คือ นายชาคริต นกขำดี หรือเฟิร์ส อายุ 18 ปี เคยถูกจับกุมคดีลักจักรยานยนต์, นายกรญวัฒฐ์ บุญชู หรือ เด่น อายุ 36 ปี, นายณัฐพร รัตนบุรี หรือ ลิฟท์ อายุ 30 ปี, นายวาทิต ประวิรัตน์ หรือ มิก อายุ 27 ปี เคยถูกจับกุมคดีลักทรัพย์, นายแดง แท่งทอง อายุ 28 ปี เคยถูกจับคดีข่มขืน และลักจักรยานยนต์, นายอนุรักษ์ พุฒศิริ อายุ 31 ปี เคยถูกจับคดีวิ่งราวทรัพย์ ร่วมชิงทรัพย์จนถึงแก่ความตาย และร่วมปล้นทรัพย์ และนายธิติพงศ์ สุขสวัสดิ์ อายุ 40 ปี เคยถูกจับคดียาเสพติด โดยตลอดระยะเวลาการทำแผนแพทย์ พยาบาล รวมไปถึงผู้ป่วยและญาติ ต่างมาขอดูหน้ากลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากไม่พอใจการกระทำของกลุ่มดังกล่าว
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ เปิดเผยว่า เบื้องต้นข้อหาคือ ร่วมกันยิงปืนขึ้นฟ้า, ร่วมกันครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุน และร่วมกันพกพาอาวุธปืน นอกจากนี้ยังต้องตามตัวผู้ก่อเหตุอีก 6 รายที่ยังหลบหนีอยู่
ส่วนนายชาคริต หรือ เฟิร์ส ที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ เป็นเพราะเฟิร์ส สักที่ใบหน้า และเป็นรอยสักที่ไม่เหมือนใครเป็นการสักค้างคาว และสักหมีแพนด้าบ้าง ทำให้จับกุมได้ง่ายกว่าผู้ก่อเหตุคนอื่น
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปยังบ้านพักของ นายชาคริต หรือ เฟิร์ส ทีมข่าวได้พบกับ นางสมพร (นามสมมติ) ยายของผู้ต้องหา ผู้เลี้ยงดู นายชาคริต มาตั้งแต่เด็ก นางสมพร เผยถึงพฤติกรรมของหลานชายว่า ตอนเป็นเด็กมีนิสัยติดเพื่อน และชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา เรียกได้ว่าเป็นหัวโจกประจำกลุ่ม
นางสมพร เผยว่า สิ่งที่ทำให้หลานชายมีพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรง เนื่องจากเฟิร์สขาดความอบอุ่นจากครอบครัว เพราะพ่อแม่แยกทางกันมาตั้งแต่ยังเด็ก
ที่ผ่านมาหลานชาย ชอบชวนบรรดาเพื่อนๆ มาหาที่บ้านบ่อยครั้ง แต่ตนไม่รู้ว่ามาทำอะไรกัน ซึ่งทันทีที่ตนทราบข่าวว่า เฟิร์สถูกจับกุม ยอมรับว่า "หัวใจแทบแตกสลาย ทั้งที่ในอดีต เคยทั้งสั่งสอนให้หลานชายคนนี้เป็นคนดี ไม่ให้มีนิสัยเกเร เที่ยวไล่ชกต่อยชาวบ้าน"
นางสมพร ยังฝากคำพูดไปถึงนายชาคริต ว่า "ขอให้อดทน เรื่องทั้งหมดนี้เฟิร์ส เป็นคนทำตัวเอง"
นอกจากนี้ นางสมพร ยังเปิดเผยกับทีมข่าวว่า ก่อนเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2560 เวลาประมาณ 15.00 น. ได้ยินหลานชาย คุยโทรศัพท์กับเพื่อนทำนองว่า จะออกไปหา แต่ตนเองไม่ได้ยินว่าไปทำอะไร หลังจากหลานชายคุยโทรศัพท์เสร็จ ตนเองได้บอกว่า "ให้เพื่อนมาหาที่บ้าน" แต่หลานชายไม่สนใจ ก่อนจะขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไป
ทั้งนี้ นางสมพร ได้ขอฝากคำขอโทษต่อสังคมแทนหลาน ที่เข้าไปทำร้ายร่างกายคู่อริ ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลกระทุ่มแบนว่า "อยากให้สังคมให้อภัย อายุหลานยังน้อยอยู่"
ด้านนางเจริญ (นามสมมติ) ผู้อาศัยอยู่ใกล้กับบ้านของ นายชาคริต หรือ เฟิร์ส เผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ตนได้ย้ายมาที่อยู่ใกล้กับบ้านของผู้ก่อเหตุ ได้เจอเฟิร์สบ่อยครั้งเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนเยอะ เป็นคนติดเพื่อน และชอบพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านบ่อยครั้ง
นางเจริญ คาดว่า อาจจะมาเสพยาเสพติดกันภายในบ้าน เพราะเพื่อนของผู้ก่อเหตุ เคยมีประวัติการเสพยามาก่อน โดยทุกครั้งที่เพื่อนของเฟิร์สมาบ้าน ตนจะต้องล็อกรถจักรยานยนต์อย่างแน่นหนาที่สุด เนื่องจากกลัวว่าเพื่อนของ เฟิร์สจะขโมยรถจักรยานยนต์ไป
นอกจากนี้ นางเจริญ ยังบอกกับทีมข่าวด้วยว่า รู้สึกตกใจมากเมื่อทราบข่าวกลุ่มวัยรุ่น บุกทำร้ายร่างกายคู่อริ ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลกระทุ่มแบน ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้
ต่อมาทีมข่าว ได้เดินทางไป พูดคุยกับนางหงส์ (นามสมมติ) แม่ของ นายกรญวัฒน์ บุญชู หรือ "เด่น" อายุ 36 ปี หนึ่งในผู้ต้องหา ได้เปิดเผยว่า เพิ่งรู้ว่าลูกชายโดนจับกุมตัวเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ภายหลังจากลูกชายคนเล็กได้ดูข่าวทางเฟซบุ๊ก และนำมาบอกกับตนว่า พี่ชายโดนจับ เพราะไปทำร้ายคู่อริที่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน
ตอนแรกตนเองก็ไม่เชื่อ จนลูกชายคนเล็กเอาข่าวในโทรศัพท์มือถือมาให้ดู จึงทราบความจริง เพราะก่อนหน้านั้นเพิ่งได้ดูข่าวในโทรทัศน์ แต่ไม่ได้ระบุชื่อผู้ต้องหา จึงทำให้ไม่รู้ว่าผู้ก่อเหตุคือใคร โดยขณะที่ดู ตนเองยังด่าวัยรุ่นที่ก่อเหตุไปด้วย
ทันทีที่รู้ข่าวว่า ลูกชายเป็นคนร่วมลงมือ ทำให้ตนเองที่ป่วยด้วยโรคหัวใจ มีอาการแย่ลง รวมถึงมีอาการปวดหัวเข่ามาแทรก เนื่องจากเครียด และหากมีโอกาสพูดคุยกับลูกชาย อยากบอกเพียงว่า "ทำอะไรให้มีสติ ทำอะไรให้คิดก่อน ตรงนั้นคนป่วยเยอะ ไม่น่าทำเลยลูก"
นอกจากนี้ นางหงส์ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมา เด่นเคยต้องโทษในคดีร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนถึง 2 ครั้ง พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ยังทำใจไม่ได้ และต้องการให้สังคมให้อภัย กับสิ่งที่ลูกชายคนตนเองได้กระทำลงไป ปัญหาแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด และลูกชายแค่เป็นคนติดเพื่อน