จากกรณีการหายตัวของ เด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ น้องชมพู่ อายุ 3 ปี สูญหายจากบ้านพัก หมู่ 2 บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค. 63 จนกระทั่งพบศพอยู่กลางป่าบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 4-5 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่เร่งเก็บหลักฐานหาตัวคนร้าย ซึ่งคาดว่าเป็นคนในหมู่บ้าน
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
วันที่ 27 มิ.ย. 63 ตำรวจชุดสืบสวน เชิญตัวนายอนามัย วงศ์ศรีชา และนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อแม่ของน้องชมพู่ ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสานแว้ ซึ่งพยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัวได้ชั่งน้ำหนัก วัดอุณหภูมิร่างกาย และวัดความดัน
โดยนายอนามัย น้ำหนัก 64.8 กิโลกรัม น้ำหนักลดลงก่อนน้องชมพู่เสียชีวิต 3 กิโลกรัม มีอุณหภูมิร่างกาย 36.4 องศาเซลเซียส ความดัน 129/79 อัตราหัวใจ 92 ครั้งต่อนาที
ส่วนนางสาวิตรี น้ำหนัก 47.5 กิโลกรัม น้ำหนักลดลงก่อนน้องชมพู่เสียชีวิตประมาณ 2 กิโลกรัม มีอุณหภูมิร่างกาย 36.5 องศาเซลเซียส ความดัน 127/73 อัตราหัวใจ 98 ครั้งต่อนาที
ซึ่งพยาบาลได้ให้ทั้งคู่นั่งพักประมาณ 10 นาที และตรวจวัดความดันอีกครั้งก็พบว่าผลการวัดใกล้เคียงผลเดิม พยาบาลลงความเห็นว่าทั้งคู่อาจจะมีอาการอ่อนเพลีย จึงได้ให้ยาบำรุงเลือด ยาบำรุงร่างกายและน้ำเกลือกลับไปกิน
น.ส.ชนาภัทร แพงแก้ว พยาบาลเวชปฏิบัติครอบครัวประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสานแว้ เปิดเผยว่า จากการตรวจร่างกายของทั้ง 2 คนในวันนี้ พบว่าอุณหภูมิร่างกายอยู่ในระดับปกติ ความดันและอัตราการเต้นของหัวใจก็ปกติ แต่ทราบว่าทั้งคู่มีน้ำหนักลดลงจากเดิมเล็กน้อย คาดว่าอาจจะมีความเครียด นอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งวันนี้นางสาวิตรียังมีอาการเหนื่อยและจะอาเจียนจนต้องใช้สำลีชุบแอมโมเนียให้ดมเพื่อบรรเทาอาการ อาการโดยรวมก็ไม่ร้ายแรง เบื้องต้นได้ให้ยาบำรุงไปกิน
อย่างไรก็ตาม การตรวจร่างกายเบื้องต้นนี้สามารถตรวจวัดเพียงความเหนื่อย หรือตื่นเต้นตกใจ ก็จะส่งผลต่อความดัน ถ้าตื่นเต้นความดันจะสูง ถ้าเหนื่อยมากความดันจะต่ำและอาจจะวูบ
นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า วันนี้ตำรวจได้เชิญไปตรวจร่างกาย ก็มีเพียงชั่งน้ำหนัก วัดความดันและให้ยาบำรุงร่างกายมาให้กิน เพราะน้ำหนักตนลดลงประมาณ 3 กิโลกรัม เนื่องจากตนกินข้าวได้น้อยลง และวันนี้ตนกินข้าวได้แค่ 1 มื้อ คือมือเช้า เพราะรู้สึกคิดถึงลูกสาวและคิดอีกหลายเรื่อง มีความเครียดและเหนื่อย
นายอนามัย กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้ที่ตนถูกสอบปากคำติดต่อกัน 7 ชั่วโมง ตนก็เข้าใจว่าเป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรียกไปถามเรื่องเดิมซ้ำ ๆ ว่าคิดอะไรเพิ่มเติมออกบ้าง แต่ตนก็คิดอะไรไม่ออก ตอนนี้มีกำลังใจเพราะตำรวจก็มาพูดคุยว่ายังทำงานอยู่ตลอด ถ้าไม่ได้ตัวคนร้าย ก็ไม่กลับ และล่าสุดตนรู้สึกดีใจที่ครูของภรรยามาเยี่ยมให้กำลังใจ และสำหรับเรื่องชายเสื้อดำ หรือรถเวฟสีบรอนซ์-ดำนั้น ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า หลังจากวานนี้ตำรวจสอบปากคำเพิ่มเติม 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็มีการสอบถามเรื่องเดิมและให้กำลังใจ ตนก็รู็สึกเหนื่อยและเพลีย
โดยวันนี้ตำรวจได้เข้ามารับไปตรวจร่างกาย ให้กำลังใจ และพูดคุยปรับทุกข์กัน ซึ่งวันนี้ระหว่างตรวจร่างกายตนก็ถึงกับจะอาเจียน เพราะรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียตั้งแต่เมื่อวาน น้ำหนักลดลงเพราะกินข้าวไม่ได้
ที่หมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร นางเปรียญ หอมทอง อายุ 48 ปี ครูของแม่น้องชมพู่ ที่ไม่เจอกันมาประมาณ 24 ปี เดินทางมาจาก จ.มหารสารคาม เยี่ยมครอบครัวของน้องชมพู่ โดยนาทีที่แม่ของน้องชมพู่ได้เจอกับครู ก็สวมกอดกันและร้องไห้
แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า ครูเปรียญเป็นครูคนแรกของตน เปรียบเสมือนพี่สาว เพราะตนได้เรียนกับครูตั้งแต่ ม.1 ซึ่งตนคิดถึงครูมาก หลังจากเกิดเรื่อง นางเปรียญกล่าวว่า ครูก็อยากมาให้กำลังใจ ให้ต่อสู้ ให้เวลาเยียวยารักษาแผลใจ เพราะใครก็ไม่อยากสูญเสียโดยเฉพาะลูก ซึ่งลูกศิษย์เป็นคนพูดจาฉลาด จิตใจได้รับการยกระดับ จากนั้น ครูเปรียญและเพื่อน ๆ ครูก็ได้ผูกสายข้อมือให้กับพ่อแม่ของน้องชมพู่ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ
นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า เมื่อพูดถึงชื่อครูเปรียญและอีกหลายท่าน ตนก็เกือบจะร้องไห้ ครูมารอตั้งแต่ช่วงที่ตนไปตรวจร่างกายตอนเช้า ซึ่งครูก็รอพบตนอยู่ที่บ้าน หลังจากไม่เคยเจอกันกว่า 24 ปีแล้ว ตอนเรียน ม.1 ตนได้เรียนกับครูเปรียญ โดยตอนนั้นตนเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด แต่ครูเหมือนกับพี่เหมือนกับเพื่อนที่สนิทกับตนเป็นคนแรก เพราะตอนเด็กตนเป็นคนตั้งใจเรียน ชอบแข่งขันวิชาการ และครูเปรียญก็จะเป็นคนที่สนับสนุนตลอด ในช่วงวันหยุดก็จะขี่มอเตอร์ไซค์พาตนไปเที่ยวตลอด หลังจากครูย้ายไปตนก็ไม่ได้เจอกับครู จนกระทั่งเกิดเรื่องของน้องชมพู่ ครูก็มาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กว่า "สมเด็จสู้ ๆ นะ" ซึ่งตนรู้ทันทีว่าเป็นครูเปรียญ เพราะสมเด็จ เป็นชื่อเก่าของตนตอนที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ