จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ Kritsana Khansri ได้โพสต์ข้อความพร้อมรูปลูกน้อยที่เตรียมทำคลอด แต่กลับไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้ง ๆ อยู่ข้าง ๆ กัน ถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องจดจำไปทั้งชีวิตกับการจากไปอย่างไม่มีวันย้อนคืนของ "น้องไตเติ้ล" อายุครรภ์ 38 สัปดาห์ 2 วัน คลอดออกมาแล้วไม่หายใจ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.63ที่ผ่านมา
แต่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.63 ทางญาติเด็กได้ติดต่อขอนำศพน้องไตเติ้ลไปชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่ทางโรงพยาบาลต้นเรื่อง ได้อ้างว่าได้มีการสลับศพเด็ก โดยนำร่างน้องไตเติ้ลไปฌาปนกิจแล้ว ซึ่งรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ทราบชื่อพ่อที่สลับศพไปชื่อ นายผล (นามสมมติ) อายุ 37 ปี
ล่าสุดวันที่ 2 ส.ค.63 ทางครอบครัวของน้องไตเติ้ล ได้นำเถ้ากระดูกของน้องไปฝากไว้ยังพระครูวิชัย กิตจาทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีวิชัยวนาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ชัยนาท
นายตั้ม (นามสมมติ) อายุ 27 ปี พ่อของน้องไตเติ้ล เปิดเผยว่า ตนทราบข่าวว่าโรงพยาบาลมีการสลับศพเด็กเมื่อวานที่ผ่านมา เพราะตนได้ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิไปเบิกศพลูกชาย เพื่อที่จะนำตัวไปชันสูตรศพที่โรงพยาบาลตำรวจ ใจจริงแล้วตนก็ไม่อยากให้ผ่าชันสูตรศพลูก เพราะกลัวว่าเจ็บ เพียงอยากทราบว่าความจริงการเสียชีวิตของลูกชาย ซึ่งตนก็ไม่ได้โทษแพทย์ที่ทำให้ลูกเสียชีวิต แต่ทางโรงพยาบาลไม่ให้นำร่างลูกชายออกมา เพราะว่าต้องมีการประชุม และให้พยาบาลดูแลเซ็นรับรอง
เมื่อเวลา 16.00 น. ตนได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งรอประมาณครึ่งชั่วโมง ทางคณะแพทย์ของโรงพยาบาล นำทีมโดยรองผอ.ได้เรียกขึ้นไปพบ โรงพยาบาลได้บอกว่าได้สลับศพเด็ก โดยได้นำไปเผาแล้ว ตนจึงได้ถามกลับไปว่าทำไมทางโรงพยาบาลให้นำศพออกไปได้
โดยแพทย์สูตินารีได้ "ขอโทษ" ไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ตนเชื่อว่าแพทย์ยังไม่รู้สึกผิด คำขอโทษที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงลมปาก ไม่ได้มาจากใจ ขณะที่เข้าไปในห้องประชุมได้พบนายผล คนที่สลับลูกของตนไป ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก โดยนายผลได้เข้ามาขอโทษ และไม่ได้มีเจตนาที่จะสลับศพไป และอ้างว่าไม่เคยเห็นหน้าลูก
ทั้งนี้ตนคิดว่าโรงพยาบาล นำศพลูกตนไปเผานั้น เนื่องจากเป็นการทำลายหลักฐาน โรงพยาบาลไม่ต้องการที่จะให้ตนนําลูกชายไปผ่าชันสูตรอีกครั้ง เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าลูกชายตนเสียเพราะอะไร บอกเพียงขณะที่คลอดลูกชายไม่ได้มีลมหายใจแล้ว พร้อมกับต่อว่าให้ภรรยาของตนไม่ให้ความร่วมมือในขณะทำคลอด นอกจากนี้เชื่อว่าเป็นการจัดฉากของโรงพยาบาล
ขณะนี้รู้สึกเสียใจคำตอบที่หมอให้มานั้น ยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับตน เพราะเป็นคำพูดที่ง่ายเกินไป ตั้งแต่ภรรยาของตนตั้งครรภ์ไปหาหมอตามนัด หมอยังบอกว่าเด็กแข็งแรงสมบูรณ์ดี หัวใจเต้นปกติ หลังจากเกิดเรื่องโรงพยาบาลยื่นข้อเสนอให้ตนเรียกร้องไปที่โรงพยาบาลว่าจะให้รับผิดชอบอย่างไรบ้าง ตนยังไม่ได้ให้คำตอบ เพราะอยากได้ความยุติธรรม ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับใครอีก ต่อไปนี้คงไม่ไปใช้บริการที่โรงพยาบาลแล้ว เสียใจที่ตัดสินใจพลาดที่ไปใช้บริการ
อย่างไรก็ตามตนไม่เข้าใจว่ามีการเผาศพแล้ว ทำไมโรงพยาบาลต้องการเอาเถ้ากระดูกไปเก็บด้วย และอยากถามนายผลว่าปักใจเชื่อได้อย่างไรว่าลูกชายตนเป็นลูกของนายผล แล้วนำลูกตนมาเผารู้สึกอย่างไร ส่วนทางโรงพยาบาล ตนอยากให้ออกมาชี้แจงอย่าเงียบแบบนี้ นอกจากนี้นายตั้มยังไม่มั่นใจว่า เถ้ากระดูกนั้นเป็นลูกชายของตนจริงหรือไม่ ต้องรอการตรวจดีเอ็นเอ
หลังจากได้พูดคุยกับนายตั้ม ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางไปยังบ้านของนายผล (นามสมมติ) อายุ 37 ปี พ่อที่ถูกสลับศพเด็ก เล่าว่า วานนี้ได้ไปรับศพลูกสาวที่ ห้องดับจิตของโรงพยาบาล ทางเจ้าหน้าที่ได้ให้กรอกเอกสารและเซ็นชื่อ ตนได้เอ่ยปากขอดูหน้าลูกสาว เพราะเนื่องจากตั้งแต่ผ่าคลอดมาไม่เคยเห็น เพราะแม่ยายไม่อยากให้เห็นกลัวว่าจะโศกเศร้าเสียใจไปมากกว่านี้ เพราะเคยเสียลูกไปถึง 2 ครั้งแล้ว
ทั้งนี้ตนไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าเจ้าหน้าที่หยิบศพลูกมาให้ถูกต้องแล้ว ส่วนป้ายชื่อหรืออะไรตนไม่เห็น เพราะเนื่องจากเด็กถูกห่อคลุมมาแล้ว เห็นเพียงแต่ใบหน้า ซึ่งใบหน้าของเด็กขาว และคล้ายกับผู้หญิงมาก ลูกของตนคลอดก่อนกำหนด มีอายุครรภ์ได้เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้น เรื่องน้ำหนักตนก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร
หลังจากรับส่งเรียบร้อยแล้วตนได้ไปทำพิธีที่วัด โดยมีเจ้าหน้าที่นั่งรถไปกับตน 2 คนและคนขับรถ 1 คนรวมกับตนแล้วเป็น 4 คน ส่วนคณะแพทย์ที่มาร่วมงานนั้น ตนคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นมาทำบุญ ขณะที่เปิดหีบศพมา ตนก็ได้เห็นหน้าลูกได้เพียงแต่ร้องไห้ ไม่ได้คิดอะไร หากทราบว่ามีการสลับศพเด็กขึ้นมาตั้งแต่ตอนแรก ตนคงไม่ทำพิธี ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นเครื่องมือของแพทย์ เชื่อว่าศพเด็กดังกล่าวเป็นลูกของตนจริง ๆ
พอเวลาประมาณ 18.00 น. ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรมาตามตนให้รีบไปที่โรงพยาบาลเนื่องจากสลับศพเด็ก ตนตกใจมาก รีบขับรถไปยังโรงพยาบาล โรงพยาบาลได้ยอมรับผิดบอก มีความสะเพร่า ตนได้เจอกับนายตั้มและครอบครัว ได้เข้าไปขอโทษ และบอกกล่าวว่า ไม่รู้ซึ่งทางโรงพยาบาลเป็นคนหยิบเด็กมาให้ ส่วนกำไรข้อมือเด็กอะไรนั้นตนก็ไม่เห็น เพราะเพียงแค่ภาพปิดห่อมาให้ ตนขอตำหนิเจ้าหน้าที่ห้องดับจิต ทำไมไม่มีการเขียนชื่อหรือป้ายอะไรแขวนไว้ และควรตรวจสอบอย่างละเอียดชื่อก่อนส่งศพให้ญาติ
ส่วนประเด็นที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมตนไปเผาศพคนเดียวนั้น เนื่องจากว่าแฟนของตนยังไม่แข็งแรง และตนอาสาไปเอง เพราะกลัวว่าแฟนยังทำใจไม่ได้ อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่าไม่ได้ร่วมมือกับทางโรงพยาบาล เมื่อมีข่าวออกไปยอมรับว่าขณะนี้สภาพจิตใจแย่มาก ลูกก็เสียยังมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อีก ตนก็เข้าใจครอบครัวของนายตั้มที่สูญเสีย ซึ่งตนก็ส่งเสียงเหมือนกัน อย่างไรก็ตามตนก็อยากขอโทษ เพราะตนไม่ทราบจริง ๆ ว่ามีการสลับศพเด็กการเกิดขึ้น นอกจากนี้ตนอยากให้ทางโรงพยาบาลออกมารับผิดชอบชี้แจงกับกรณีที่เกิดขึ้น