จากกรณีกลุ่มวัยรุ่น 2 สถาบัน ใช้อาวุธครบมือ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกัน และได้ใช้
อาวุธปืนยิงเข้าใส่คู่อริ จนนอนจมกองเลือด และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไป
ล่าสุด วันนี้ (18 ม.ค.61) ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุ ถ.กาญจนาภิเษก มุ่งหน้าบางแค บริเวณด้านหน้าปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ พบคราบเลือดของผู้เสียชีวิตยังติดอยู่ตามพื้นถนน โดยบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นแหล่งชุมชน ด้านข้างปั๊มน้ำมันเป็นศูนย์อาหารมีพ่อค้าแม่ค้า และชาวบ้านมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า ศูนย์อาหารด้านหน้าสถานีบริการน้ำมัน บอกว่า กลุ่มวัยรุ่นร่วมกันก่อเหตุในครั้งนี้ มีไม่ต่ำกว่า 50 คน ช่วงเกิดเหตุ พ่อค้า แม่ค้า ได้หลบอยู่ด้านหลังตู้ขายอาหาร คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงจ่อเข้าที่หัวใจของผู้
เสียชีวิต 2 ครั้ง ครั้งแรกยิงพลาดจึงทำให้เกิดการยิงซ้ำจน
เสียชีวิตไป เพื่อนผู้
เสียชีวิตพยายามเข้ามาช่วย แต่ถูกคู่อริเข้าไปฟันซ้ำอีกหลายครั้ง
นอกจากนี้ ภาพกล้องวงจรปิดยังสามารถ จับภาพกลุ่มวัยรุ่นทั้ง 2 ฝ่ายไว้ได้ โดยกลุ่มเพื่อนของผู้เสียชีวิตพยายามลากร่างของผู้เสียชีวิตออกมาจากปั๊มน้ำมัน แต่กลุ่มคู่อริได้วิ่งเข้ามาทำร้ายอีกครั้ง ทำให้เพื่อนต้องวิ่งหนีและทิ้งร่างผู้เสียชีวิตเอาไว้
หลังจากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปยังวัดแห่งหนึ่ง ที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ นายสุรนนท์ บุญเดช อายุ 18 ปี ผู้
เสียชีวิต โดยเป็นการตั้งสวดพระอภิธรรมศพวันแรก มีกลุ่มญาติและเพื่อนเดินทางมาแสดงความเสียใจอย่างต่อเนื่อง
นางภาวิณี ผดุงนานนท์ แม่ผู้
เสียชีวิต เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมาไม่ทราบว่า ลูกชายไปมีปัญหากับใครมาก่อนหรือไม่ แต่ตนจะสอนลูกเสมอว่า "อย่าไปมีเรื่องกับใคร" ก่อนหน้านี้ลูกชายเคยบอกว่า อีก 1 เดือน จะเรียนจบแล้ว อยากจะทำงานเพื่อเก็บเงินไปเรียนต่อ ที่ทำงานลูกชายก็อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ
ส่วนตัวเป็นห่วงลูกชายมาตลอด ได้แต่ทำใจทุกวันว่า "ขออย่าให้ลูกมีเรื่องอะไรกับใคร" หากเป็นอะไรไป ตนอยู่ไม่ได้ พอทราบเรื่องว่าลูกชายเสียชีวิต ยอมรับว่าใจแทบขาด
นางวิภาณี แม่ผู้เสียชีวิตเผยว่า ทุกวันตนจะวางเงินให้ลูกไปโรงเรียน พร้อมกับซื้อข้าวเย็นเตรียมไว้ให้ แล้วจะรอลูกเลิกงานกลับบ้าน หลังจากนี้คงไม่มีภาพนี้อีกต่อไปแล้ว ช่วงเช้าวันเกิดเหตุ ลูกชายตนไม่ได้พูดอะไรเป็นลาง แต่ตนยังตื่นเช้าทำกับข้าวให้ลูกกิน ที่ผ่านมาตนไม่เคยตื่นเช้ามาทำอาหารให้ลูก ครั้งนี้เหมือนกับว่า ตนเองได้ทำอาหารให้ลูกชายกินเป็นมื้อสุดท้าย
ด้านเพื่อนสนิท นายสุรนนท์ ผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า นายสุรนนท์เป็นคนตลก เรียนเก่ง และรักเพื่อน ชอบพูดเสมอว่า โตขึ้นต้องทำงานหาเงิน ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม พร้อมยืนยันว่า วันเกิดเหตุไม่ได้มีการนัดหมายกันไปยกพวกตีกัน ต่างคนต่างกลับบ้าน นายสุรนนท์ จะต้องเดินทางไปทำงาน จึงต้องผ่านเส้นทางดังกล่าว โดยทราบเพียงว่า คู่กรณีมาดักรออยู่หลายวันแล้ว เนื่องจากใกล้วันสถาปนาโรงเรียน โดยหลังจากเกิดเหตุยอมรับว่าเสียใจกับการจากไปของเพื่อน
ส่วนกรณีที่มีข่าวระบุว่า กลุ่มผู้ตายได้ลงมือชกสื่อมวลชนสำนักข่าวหนึ่งจนสลบ และได้รับบาดเจ็บนั้น นายฟิล์ม (นามสมมติ) พี่ชายนายสุรนนท์ ผู้ที่ชกนักข่าวในห้องชันสูตรศพ พร้อมยอมรับว่า ชกจริงแต่ไม่ทราบว่าเป็นนักข่าว เนื่องจาก เห็นชายรายดังกล่าวหน้าห้อง จึงสอบถามว่าเป็นใคร แต่ชายรายดังกล่าวบอกว่า เป็นตำรวจสายสืบจาก สน.บางขุนเทียน
จนกระทั่ง เข้าไปในห้องชันสูตรศพ ที่มีเพียงญาติ และหมออยู่ภายในห้อง ปรากฎว่าชายรายนั้นได้เข้ามา และใช้มือถือถ่ายคลิปขณะชันสูตรศพ โดยแพทย์รายหนึ่งบอกว่า "ห้ามถ่ายเด็ดขาด" ตนจึงรู้ว่ามีการถ่ายวิดีโอเกิดขึ้น
นายฟิล์ม บอกว่า ด้วยความเป็นห่วงและสงสัยว่า ชายรายนั้นอาจเป็นฝ่ายคู่อริมาแอบถ่ายรูป ตนจึงเข้าไปถามอีกครั้งว่าเป็นใคร พร้อมทั้งขอดูบัตรประจำตัวตำรวจ แต่ชายรายดังกล่าวตอบว่า "ตัวเองไม่จำเป็นต้องแสดงบัตร"
ขณะเดียวกันโทรศัพท์ของชายรายดังกล่าวมีสายเรียกเข้า ตนจึงกระชากมือถือมาดู ปรากฎว่า เห็นโลโก้ข่าวช่องหนึ่ง จึงถามว่า พี่เป็นนักข่าวใช่หรือไม่ แต่ไม่ได้รับคำตอบ โดยชายรายนั้นเอามือมากระชากเสื้อตน ตนจึงใช้มือบีบคอ และชกเข้าที่ใบหน้าไป 2 หมัด ยืนยันว่า ไม่ได้มีการรุมทำร้าย และไม่ได้ตั้งใจทำร้ายนักข่าว เพียงแต่คิดว่า น่าจะให้เกียรติครอบครัวผู้ตายบ้าง และมาขออนุญาตครอบครัวก่อนจะถ่ายคลิปวิดีโอ
นายฟิล์ม ยอมรับว่า หากตนถูกดำเนินคดี ตนก็ยินดี เพราะตนชกหน้าแต่ไม่ได้ให้เพื่อนรุม เพราะถ้าหากเพื่อนๆ เข้ามารุมทำร้าย ชายรายดังกล่าวอาจเสียชีวิต เนื่องจากที่หน้าห้องตรวจมีกลุ่มเพื่อนๆ รออยู่กว่า 100 คน
ทางด้าน พ.ต.อ.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 เปิดเผยถึงคดีดังกล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าคดีในบางส่วน จากการขยายผลสืบสวนสอบสวน ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่จะนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ ขณะเดียวกันตำรวจต้องขอดูพยานหลักฐานก่อนจะขอศาลออกหมายจับ
พ.ต.อ.พงศ์อานันต์ เปิดเผยว่า คดีนี้ต้องใช้เวลาในการสอบสวน เนื่องจากมีเยาวชนเป็นผู้ก่อเหตุ และทำให้การสอบสวนต้องมีสหวิชาชีพสอบปากคำ ส่วนสาเหตุการก่อเหตุครั้งนี้ ระบุว่า เกิดจากความขัดแย้งของสถาบัน เป็นความเชื่อของกลุ่มวัยรุ่น ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งดำเนินการตามตัวคนร้ายมาลงโทษให้เร็วที่สุด และยืนยันว่าให้ความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย