กรณีร.ต.อ.ปรมา ปราณี รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุพบศพหญิงสาวถูกฆ่าตายในป่าข้างทางริมถนนเลียบมอเตอร์เวย์ ฝั่งเข้ากรุงเทพฯ ตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นถนนลูกรังไม่มีบ้านคน ข้างทางเป็นป่ารกร้างมีกองขยะที่มีคนเอามาทิ้งไว้ พบศพหญิงสาว อายุประมาณ 25–30 ปี นอนเสียชีวิตตรงทางเข้าป่า
โดยสภาพนอนหงายสวมเสื้อยืดสีเหลืองแขนสั้น ถูกถลกขึ้นที่เอว กางเกงขาสั้นสีขาวถูกถอดไปกองไว้ที่ข้อเท้าขวา มีกางเกงยืดสีดำอีกชั้นถูกถอดลงมา จนท่อนล่างเปลือยเปล่า ใบหน้าและศีรษะถูกของแข็งตีจนแตก มีเลือดออกที่หู มือขวากำหลอดกาแฟสีเขียวแน่น ข้างศพพบรองเท้าแตะสีเหลืองหูคีบสีแดงตกอยู่ ตรวจสอบทราบว่าผู้ตายมีอาการป่วยทางจิต เดินหายออกจากบ้านเมื่อวันที่ 9 ส.ค.63 ที่ผ่านมา ก่อนจะมาพบเป็นศพดังกล่าว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางเพลิน โห้เรืองรมย์ อายุ 50 ปี แม่ของนางเบล (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกสาวมีอาการป่วยทางจิตมาประมาณ 5 ปีแล้ว โดยปกติลูกอาศัยอยู่กับสามีในห้องเช่าติดกับห้องของตน เมื่อวันอาทิตย์ช่วงค่ำลูกหายออกไปจากบ้าน ตนคิดว่าลูกน่าจะไปเดินเล่นและกลับมาบ้านเองเหมือนทุกครั้งก็ไม่ได้เอะใจ
กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 10 ส.ค.63 ตนสอบถามหลานชายวัย 4 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของลูกสาว ว่าแม่อยู่ไหน หลานชายตอบตนว่า “แม่ตายแล้ว” ขณะนั้นไม่ได้เอะใจ คิดว่าเด็กพูดเล่นไปตามประสา กระทั่งช่วงเย็นทราบข่าวว่าพบศพลูกสาวที่ป่าข้างทาง ห่างจากบ้านนับ 10 กิโลเมตร ก็ตกใจมาก
ทั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าคนร้ายต้องเป็นคนใกล้ตัว เพราะจุดเกิดเหตุอยู่ไกล ลูกสาวไม่น่าจะเดินไปถึงในเวลาอันรวดเร็ว คาดว่ามีคนพาลูกขึ้นรถไปบริเวณดังกล่าว โดยคนที่จะพาลูกสาวตนไปได้ ต้องเป็นคนรู้จักหรือสนิทกันเท่านั้น ซึ่งจุดที่พบศพ ลูกสาวก็ไม่เคยเดินไปบริเวณดังกล่าว ก่อนหน้านี้ลูกเคยหายไปจากบ้าน แต่ก็ตามกลับมาได้ และแม้ลูกจะมีอาการป่วยจิตก็จำชื่อ-เบอร์โทรศัพท์ของตนได้ ส่วนที่หลานชายมาบอกว่าแม่เสียชีวิตแล้ว ตั้งแต่ช่วงเช้า ตนก็เริ่มแปลกใจว่าหลานทราบได้อย่างไร
ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุบริเวณป่าเลียบถนนมอเตอร์เวย์ ม.2 ต.หนองรี อ.เมืองชลบุรี ซึ่งมีต้นไม้ขึ้นสูงทั้ง 2 ข้างทาง จุดที่พบศพอยู่ห่างจากถนนเลียบมอเตอร์เวย์ประมาณ 10 เมตร
สอบถามนายชรินทร์ นพวงศ์ อายุ 65 ปี ผู้พบศพ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ เวลาประมาณเที่ยง ตนขับรถกระบะมาที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 500 เมตร เพื่อจะมาตัดไม้ในป่าไปทำฟืน เมื่อมาถึงเดินเข้ามาในป่า พบว่าร่างคนนอนขวางทางเข้า ท่อนล่างเปลือย โดยตนไม่ได้สังเกตและมองหน้า คิดว่าเป็นผู้ชายที่เมาแล้วมานอน จึงตะโกนปลุกให้ตื่น และถามว่าทำไมมานอนตรงนี้ แต่อีกฝ่ายยังแน่นิ่ง ตนไม่อยากเดินข้ามไป จึงเดินทางกลับบ้าน โดยกลับไปนั่งคิดอยู่ที่บ้านประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงชักชวนเพื่อนอีก 2 คนให้ไปที่เกิดเหตุเป็นเพื่อน เพราะไม่มั่นใจว่าเป็นคนหรือศพ
เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ตนไม่ได้เข้าไปดูเพราะกลัว เพื่อนจึงอาสาดูให้และบอกตนว่าเป็นผู้หญิงเสียชีวิตแล้ว ตนจึงรีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยในรอบแรกตนเห็นเพียงท่อนล่างเปลือย กางเกงถูกถอดไปอยู่ที่ปลายเท้าของศพ แต่ไม่ได้สังเกตบาดแผล ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นป่ารก แทบไม่มีคนผ่าน ปกติตนจะเข้าไปตัดไม้ทำฟืนประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง
โดยตนคิดว่าผู้ตายอาจจะถูกฆ่าจากที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้ง เพราะที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แต่คนร้ายน่าจะเป็นคนในพื้นที่ซึ่งรู้เส้นทาง ทั้งนี้ด้านในป่าก็เคยมีเต็นท์ลักษณะคล้ายทำเป็นเพิงพักชั่วคราว คาดว่าอาจจะเป็นคนติดยาเข้ามาพัก ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้ตายหรือไม่
จากนั้นนายชรินทร์ นำทีมข่าวเข้าไปด้านในป่า พบว่ามีทางที่เดินเข้าไปได้ ด้านในมีเสื้อชั้นในผู้หญิงประมาณ 7-8 ตัว ถูกทิ้งไว้ในพงหญ้า และมี 1 ตัวที่ผูกไว้ที่ต้นไม้ นอกจากนี้ยังมีร่องรอยการก่อไฟ รวมไปถึงมีถุงกระสอบผูกกับต้นไม้ลักษณะคล้ายเพิงพักเล็ก ๆ อีกด้วย
จากนั้นทีมข่าวเดินทางไปยังปั๊มน้ำมัน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ได้พูดคุยกับน.ส.วัชรินทร์ พันธีวงษ์ อายุ 32 ปี อาสากู้ภัยมูลนิธิธรรมรัศมีมณีรัตน์ กล่าวว่า เมื่อคืนวันที่ 9 ส.ค.63 เวลา 22.17 น. ตนเห็นนางเบล เดินอยู่กลางถนนหน้าปั๊มน้ำมันสวมเสื้อสีเหลือง กางเกงขายาวสีขาว ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่ารถจะชน จึงไปเรียกให้เข้ามาอยู่ในปั๊ม พร้อมสอบถามว่า จะไปไหน
ทั้งนี้นางเบล ระบุว่า จะไปโคราช ตนจึงบอกว่าที่นี่ไม่ใช่โคราช เดินไปไม่ได้ จากนั้นนางเบล ยังบอกให้ขับรถเก็บศพไปส่งหน่อย ซึ่งตนพยายามถามว่ามีญาติอยู่ในพื้นที่หรือไม่ เจ้าตัวก็บอกว่าไม่มี ตนจึงให้ยืนหลบในศาลาของปั๊มก่อนเพื่อความปลอดภัย หลังจากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. สังเกตเห็นนางเบลค่อย ๆ เดินออกจากปั๊มน้ำมันไปทางที่เกิดเหตุจนลับตาไป ซึ่งตนก็ไม่ได้ตามต่อ
กระทั่งรู้ข่าวเรื่องพบศพนางเบล ก็ตกใจมาก และรู้สึกเสียใจ เพราะตนพยายามช่วยไม่ให้รถชน แต่มาเกิดเหตุดังกล่าว ส่วนตัวคิดว่าคนร้ายไม่น่าจะต้องถึงขั้นลงมือฆ่าคนสติไม่ดีแบบนี้
จากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับนายสำรวม เจิมขุนทด อายุ 41 ปี สามีผู้เสียชีวิต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค.63 ตนออกจากบ้านไปทำธุระในเวลา 18.00 น. ขณะนั้นภรรยายังอยู่ที่บ้าน เมื่อตนกลับมาในเวลา 21.00 น. พบว่าภรรยาหายตัวไป จึงออกตามหาในละแวกบ้านประมาณครึ่งชั่วโมงแต่ไม่พบ ก่อนจะกลับเข้าบ้าน และประมาณเที่ยงคืนจึงออกตามหาใหม่ในจุดที่ภรรยาเคยไป เช่น วัดใกล้บ้าน แต่ก็ยังไม่เจอ จึงกลับมาพักผ่อน จนช่วงเช้าได้ออกตามหาอีกรอบ แต่ไม่เจอและไม่รู้จะไปหาที่ไหนต่อ คิดว่าภรรยาน่าจะกลับมาบ้านเองได้จึงหยุดตามหา กระทั่งช่วงเย็นทราบข่าวว่า มีคนพบศพภรรยาที่ป่าข้างทาง ห่างจากบ้าน ประมาณ 20 กิโลเมตร ก็รู้สึกตกใจมาก
ทั้งนี้ส่วนตัวคิดว่าภรรยาน่าจะถูกข่มขืนแล้วฆ่า เพราะมือข้างขวากำหลอดกาแฟไว้แน่น ลักษณะเหมือนถูกบังคับไม่สามารถทำอะไรได้ เชื่อว่าคนก่อเหตุไม่น่าจะเป็นคนใกล้ตัว แต่เป็นคนในพื้นที่ละแวกใกล้ที่เกิดเหตุ แต่ตนไม่มั่นใจว่าภรรยาไปอยู่บริเวณจุดเกิดเหตุได้อย่างไร เชื่อว่าคนร้ายน่าจะใช้อาวุธข่มขู่ เพราะไม่เช่นนั้นภรรยาจะต้องต่อสู้สุดกำลัง ซึ่งการที่ลูกชายตนพูดว่า “แม่ตายแล้ว” ตั้งแต่ก่อนเจอศพ เชื่อว่าอาจเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นตามที่มีข้อสงสัย
โดยภรรยาของตนมีอาการป่วยทางจิต ประมาณ 5 ปี แต่ตนก็พาไปรักษาอย่างต่อเนื่องจนอาการดีขึ้น ก่อนเกิดเหตุยังนั่งคุยกันปกติที่บ้าน ไม่ได้มีการทะเลาะหรือมีปากเสียงกัน ก่อนหน้านี้ 3 เดือนภรรยาก็เคยหายตัวไป 5 วัน โดยเดินจาก อ.พานทอง ไปอ.บ้านบึง ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร ซึ่งตนสามารถไปตามกลับมาได้ หลังจากนั้นภรรยาก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล ส่วนใหญ่ถ้าหายออกจากบ้านก็จะกลับมาก่อนเวลา 23.00 น.
นอกจากนี้ช่วงหลังมานี้ สังเกตว่าภรรยาชอบเดินวนไปวนมารอบรถ โดยบอกตนว่าอยากกลับไปอยู่โคราช ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเคยพาภรรยาไปอยู่มาประมาณ 4 ปี คิดว่าภรรยาอาจจะคิดถึงอยากกลับไปอีก โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรับไม่ได้ ที่คนร้ายทำคนไม่มีทางสู้ จึงอยากวอนให้ตำรวจเร่งจับกุมตัวมาดำเนินคดี และขอให้รับโทษประหาร
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี ระบุว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตต้องรอผลการชันสูตรจากโรงพยาบาลตำรวจ