กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก "บิ๊กเกรียน อินดี้" ออกมาโพสต์ข้อความอ้างว่า "#คดีน้องชมพู่ #มีข่าวฝั่งตำรวจ #เตรียมออกหมายจับ" โดยข้อมูล ระบุว่า มีพรายกระซิบ ตำรวจชุดคลี่คลายคดีน้องชมพู่ เรียกประชุมทีมสืบสวนสอบสวนเตรียมรวบรวมหลักฐาน รายงานให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ขอเสนอศาลอนุมัติ ออกหมายจับ คนร้ายลักพาตัวน้องชมพู่ โยงคดีฆาตกรรม ทำให้น้องชมพู่ตาย และเตรียมเรียกบุคคล ผู้ต้องสงสัยสอบเพิ่ม
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
ขณะที่ทีมสืบสวนชุดใหญ่ ของพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. ทยอยเข้าพื้นที่ ดูหลักฐานทุกด้าน ก่อนตัดสินใจ สรุปขอศาลอนุมัติหมายจับ อย่างไรก็ตามแฟนเพจดังกล่าว ยังอ้างว่าคงเป็นเพียงรายงานข่าว ที่มีความคืบหน้ามานำเสนอ
ล่าสุดวันที่ 19 ส.ค.63 นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า สำหรับกรณีมีข่าวเรื่องกับ ส และ ต นั้น ตนก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวลใจอะไร เพราะพ่อกับแม่ไม่ใช่คนที่ทำร้ายน้องชมพู่ แต่ถ้าหากอักษรย่อทั้ง 2 อักษรนี้ ออกมาเป็นญาติของตัวเอง ตนก็ต้องมองไปตามพยานหลักฐานของตำรวจ ซึ่งตนก็มั่นใจว่าตำรวจคงไม่จับแพะ เพราะถ้าจะจับแพะคงจับไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรณีโซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องเกี่ยวกับ ส และ ต ตนก็ไม่กังวลอะไร เพราะตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ตนก็ถูกโซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์มามากแล้ว ตอนแรก ๆ ก็เสียใจมากว่าทำไมเรื่องอย่างนี้ต้องมาลงที่ตน แต่หลัง ๆ มาก็ปลงได้ เพราะมีแบบนี้ทุกวันจนรู้สึกว่าเป็นธรรมดาไปแล้ว
นางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าของชมพู่ เปิดเผยว่า ตนตอบไม่ได้ เพราะใครคืออักกษรย่อดังกล่าว และคนในหมู่บ้านก็ยังไม่มีใครเล่าอะไรให้ฟังด้วย ตนไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับตัวเอง ส่วนคนในครอบครัวมี ส.-ต. เต็มไปหมด ตนไม่กังวล เพราะทุกคนพิสูจน์ความบริสุทธิ์มาตลอด ตนไม่ได้เข้าไปบ้านญาติ ๆ นานแล้ว จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ติดต่อไปยัง พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ถึงกรณีที่โลกออนไลน์มีการโพสต์ในลักษณะที่ว่าตำรวจชุดคลี่คลายคดี มีการประชุมด่วนเพื่อเตรียมขอศาลอนุมัติหมายจับคนร้ายอุ้มน้องชมพู่นั้น
พ.ต.อ.ชัชชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นข่าวปลอม ยืนยันว่าขณะนี้ชุดคลี่คลายคดี ยังไม่มีการประชุมกันเรื่องหมายจับ มีเพียงการประชุมเเนวทางการหาหลักฐานเพิ่มเติมเท่านั้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าผู้ที่โพสต์เป็นใคร เเละโพสต์ในลักษณะใดบ้าง หากส่งผลเสียหายต่อรูปคดี ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าตำรวจยังคงทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนข้อมูลในด้านอื่น ๆ ยังไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้ เพราะเป็นเรื่องในสำนวน เเต่หากมีความคืบหน้าจะเเถลงให้ทราบต่อไป
กรณีทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นางกะทิ (นามสมมติ) ชาวบ้านอีกคนที่เห็นชายปริศนาสวมหมวกไหมพรมสีม่วง โดยนางกะทิ เล่าว่า วันที่ 11 พ.ค.63 ช่วงเวลาประมาณ 7 โมงกว่า ๆ ตนเห็นชายปริศนา รูปร่างสันทัด ขี่รถจักรยานยนต์ไปทางโรงเรียนกกกอก ท่าทีดูลุกลี้ลุกลน มองซ้ายมองขวาตลอดเวลาจนผิดสังเกต ซึ่งการเเต่งกาย สวมหมวกไหมพรมสีม่วง สภาพใหม่ สวมเสื้อเเขนยาวโทนสีขาว สวมกางเกงยีนส์ขายาวโทนสีฟ้า รองเท้าสีดำ คล้ายกับรองเท้าขึ้นเขา ส่วนรถที่ใช้ คล้าย ๆ กับยี่ห้อฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงินขาว ไม่ติดเเผ่นป้ายทะเบียน
จากนั้นเวลาประมาณ 8 โมงกว่า ๆ รถคันเดิมกลับมาอีกรอบ คราวนี้มีชายอีกคนรูปร่างเล็กกว่าซ้อนท้ายมา การเเต่งกายคล้ายกันคือเสื้อเเขนยาวโทนสีขาว กางเกงยีนส์ขายาวโทนสีฟ้า สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว สวมหมวกไหมพรมสีม่วง สภาพใหม่เหมือนกัน เเล้วเลี้ยวเข้าไปในซอย 3 โดยซอยดังกล่าวสามารถทะลุสวนยางพาราของนายเเต เเละไปถึงบ้านน้องชมพู่ได้
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายบุญทัน เชื้อตาพระ ชาวบ้านกกกอก ถึงกรณีนางกะทิ ที่เห็นชายปริศนา 2 คน มากับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า โซนิค สีน้ำเงินขาว เเล้วนำเด็กออกไปจากหมู่บ้านนั้น
นายบุญทัน กล่าวว่า จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของชายปริศนา ตนคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับคดีน้องชมพู่ เพราะตามวิสัยของคนร้ายที่จะก่อเหตุบ้างอย่าง จะต้องมีการสอดเเนมไว้ก่อน เเล้วเลือกใช้เส้นทางที่ปลอดคน เเต่กรณีนี้ชายปริศนาขี่วนหลายรอบ ซึ่งต้องทราบเเล้วว่าปากซอย 3 มีคนอยู่กี่คน เเต่ยังนำเด็กซ้อนรถขี่ออกมาทางเดิม เเล้วขี่ผ่านกลางหมู่บ้าน เป็นเส้นทางที่เสี่ยงที่สุด
หากชายปริศนาเป็นคนร้ายจริง การขี่รถผ่านกลางหมู่บ้านเช่นนี้ เป็นความคิดที่ไม่ฉลาด ดังนั้นตนจึงคาดว่าชายปริศนาทั้งสองคน อาจไม่ใช่คนร้าย เเละเด็กที่ถูกนำออกไป ก็อาจเป็นลูกหลานเขาที่พามาขี่รถเล่น
ส่วนกรณีการสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องเเปลก เพราะไม่ใช่เพียงคนทำไร่ทำนาที่ใส่ เเต่วัยรุ่นเองก็อาจใส่เพื่อป้องกันเเสงเเดดเวลาขี่รถ ดังนั้นจะนำเรื่องหมวกโม่งปิดบังใบหน้ามาเป็นข้อสงสัยไม่ได้
นายบุญทัน ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตำรวจเคยมาหาตน เเล้วขอความคิดเห็นหลาย ๆ เรื่อง เเต่ตำรวจไม่เคยเอ่ยถามเรื่องไอ้โม่งสีม่วง หรือรถจักรยานยนต์โซนิค จึงคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน ส่วนในเรื่องคดี ตนมองว่าตำรวจมีความสามารถ เเต่ส่วนตัวอยากให้พักคดีไว้ก่อน ให้คนร้ายชะล่าใจ เเล้วความจริงบางอย่างก็จะปรากฏเอง