'วิระชัย' ส่งทนายฟ้อง 'จักรทิพย์' ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สั่งสำรองราชการ

24 ส.ค. 63

"พล.ต.อ.วิระชัย" ส่งทนายฟ้อง "ผบ.ตร." ปฏิบัติหน้าที่มิชอบกลั่นแกล้งให้ถูกสำรองราชการ เสียสิทธิ์รับตำแหน่ง ผบ.ตร. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่ง 8 ก.ย.นี้

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 63 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ซึ่งถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งสำรองราชการ ได้มอบหมายให้ นายสัญชัย ทรัพย์เจริญ ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ผบ.ตร. เป็นจำเลยในข้อหา ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์ โดยเข้ายื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งในชั้นตรวจคำฟ้อง วันที่ 8 ก.ย. 63 นี้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา

ผบ.ตร.เซ็นลงดาบ 'วิระชัย' สั่งสำรองราชการ
สั่งเด้ง "วิระชัย" รอง ผบ.ตร. เข้ากรุสำนักนายกฯ

บิ๊กตู่เซ็นคำสั่ง ให้ 'วิระชัย' นั่งเก้าอี้ รอง ผบ.ตร.ตามเดิม ระบุผลสอบเสร็จสิ้นแล้ว

คำฟ้องระบุว่า จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ตร. มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 63 ได้มีผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งในขณะนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทย และตัวเองรักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร. จึงมีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร และมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงใน สตช. แทนจำเลยตามกฎหมาย เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจนเห็นว่าเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน จึงเข้าไปควบคุมกำกับดูแลและเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้มีการจับผู้ก่อเหตุให้ได้โดยเร็ว

ต่อมาขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ อยู่ในต่างประเทศได้โทรศัพท์ติดต่อมาหาช่วงเวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวกำลังจะเข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนา เพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนจึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึก เพราะเห็นว่ากรณีมีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

จากบทสนทนาดังกล่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้พูดระบายความรู้สึกในใจที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รวมถึงการทำหน้าที่ของตัวเองเรื่องการควบคุมดูแลคดีนี้ ส่วนตัวจึงคิดว่าการสนทนาดังกล่าวไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการ เพราะขณะนั้นจำเลยอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และบทสนทนาไม่ใช่ความลับจึงไม่ได้เป็นความลับทางราชการ แต่ภายหลังมีผู้นำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่กับสื่อมวลชนทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่พอใจตัวเอง ประกอบกับเป็นช่วงระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งตัวโจทก์นั้นเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเพราะมีอาวุโสอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. แต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่ต้องการให้ตัวเองได้รับการแต่งตั้งจึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยหลายประการ เพื่อให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.

กระทั่งได้มีคำสั่ง สตช.แต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำตามคำสั่งมีข้อสรุปว่า มีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งการการกระทำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทำให้ตัวเองเสียหายเพราะทำให้ต้องถูกบังคับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร. เพราะถูกสำรองราชการและเกิดความเสียหาย เนื่องจากการสำรองราชการไม่มีเงินประจำตำแหน่งเหมือนตำแหน่งรอง ผบ.ตร. และไม่มีอำนาจหน้าที่ และเป็นตำแหน่งที่ไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ถือเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาอย่างร้ายแรง

การกระทำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 91

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ