อีกหนึ่งเรื่องที่น้อยคนจะรู้ ก็คือเรื่องของนักแสดงหนุ่ม ปั้นจั่น ปรมะ เป็นหลานแท้ๆของ คุณอ้อย กาญจนา เนื่องจากแม่ของคุณปั้นจั่น เป็นพี่สาวของคุณอ้อยคุณปั้นจั่น ก็ได้เดินทางมาร่วมงานด้วย ตั้งแต่พิธีรดน้ำศพ และได้เผยกับสื่อมวลชนว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “น้องเพลง” ลูกสาว “อ้อย กาญจนา” เผยคุณแม่มีหลายโรครุมเร้าทั้ง หัวใจ-มะเร็ง
- “ปั้นจั่น” เผยอาการป่วย “น้าอ้อย กาญจนา” พร้อมยกเป็นแบบอย่างในวงการบันเทิง
- ด่วน "อ้อย กาญจนา จินดาวัฒน์" นักแสดงชื่อดัง เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ
ที่ไม่เคยบอกใครว่าเป็นหลานคุณอ้อย ทั้งที่อาจจะเป็นใบเบิกทางที่ดีเพราะ คุณอ้อย เคยพูดกับตนว่า สิ่งที่เราทำได้ด้วยตัวเองได้ โดยที่คุณอ้อยไม่ได้ช่วยเหลือ มันก็เป็นเรื่องที่ดี ตนก็เลยทำแบบนั้นมาตลอด แล้วมันก็ไปได้ดี โดยยอมรับอีกว่า ที่อยากเข้าวงการบันเทิงมาเป็นดารา ก็เพราะคุณอ้อย
คุณปั้นจั่น บอกว่า ตลอดเวลาที่ทำงานในวงการบันเทิง ตนมีโอกาสได้เล่นละครกับคุณอ้อยแค่ครั้งเดียว ตอนนั้นเล่นเป็นแม่ลูกกัน ซึ่งความจริงคุณอ้อยก็เหมือนแม่อีกคนหนึ่งของตน เพราะตอนสมัยเด็กๆ คุณอ้อยก็เลี้ยงตนไม่ต่างจากลูก
นอกจากนี้ คุณปั้นจั่น ยังบอกอีกว่า เรื่องอาการป่วยของคุณอ้อย ตนทราบแค่ว่าเป็นโรคหัวใจเท่านั้น เพิ่งมารู้วันนี้ว่า คุณอ้อยไม่อยากให้คนในวงการทราบว่าเป็นมะเร็ง ตามที่ตนเข้าใจเขาคงยังอยากทำงานอยู่
หลายคนไม่ทราบว่าปั้นจั่นเป็นหลานแท้ๆของน้าอ้อย?
“จะมีผู้ใหญ่ในวงการไม่กี่คนที่ทราบ คุณแม่ผมเป็นพี่สาวน้าอ้อย ปั้นจั่นก็โตมารุ่นๆเดียวกับน้องเพลง ห่างกันปีเดียว เมื่อก่อนไปวิ่งเล่นที่บ้านบ่อยเจอกันทุกอาทิตย์ พอโตแล้วช่วงประมาณ 5-6 ปีหลังพอโตเป็นผู้ใหญ่ทำงานก็จะได้เจอน้องเพลงข้างนอกบ้าง ตอนเด็กๆน้าอ้อยก็เลี้ยงผมมาด้วยครับ ตอนเรายังเด็กไปเล่นวิ่งเล่นตามกองละครกับน้า”
ช่วงที่น้าอ้อยป่วยเราทราบมาตลอด?
“รู้ว่าน้าอ้อยเป็นโรคหัวใจ แต่อย่างที่เพลงบอกว่า น้าอ้อยไม่อยากให้คนในวงการทราบว่าเป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งมันเป็นเรื่องใหญ่ ตามที่ผมเข้าใจน้ายังอยากทำงานอยู่ รายการล่าสุดที่เพิ่งไปถ่ายมา ที่จริงตอนนั้นอาการหนักแล้ว แต่ว่าก็ยังฝืนไปเพราะอยากทำงาน ตอนที่น้าอ้อยเสียเป็นทั้งมะเร็งและหัวใจด้วย การให้ยามันคอนฟลิกต์กัน ถ้าจะให้ยามะเร็งมันก็มีผลต่อหัวใจ ถ้าให้ยาหัวใจมันก็มีผลต่อมะเร็ง มันก็เลยทรุดหนักไปเรื่อยๆ ประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่เริ่มทรุดลง ญาติก็มาเฝ้าได้ประมาณสองอาทิตย์แล้วที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด คุณหมอบอกว่าให้กำลังใจ เรายังไม่ยอมรับว่า น้าอ้อยจะไปเร็วขนาดนี้”
เราได้ไปอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของน้าอ้อยไหม?
“อาทิตย์นี้ปั้นจั่นไปโรงบาลเกือบทุกวันถ้าไม่มีงานเพราะต้องไปรับส่งคุณแม่อยู่แล้ว ก็ไปเฝ้าไปช่วยเป็นกำลังใจให้เพลงและน้าโต้ง แต่คุณแม่เราไปทุกวัน เมื่อวานคุณแม่แจ้งประมาณบ่ายสองกว่าเกือบบ่ายสามว่าอาการไม่ดีแล้ว ผมรีบขับรถมาจากแถวเรียบทางด่วนแต่ว่ารถติดมาก ผมถึงหน้าโรงพยาบาล คุณแม่ก็ไลน์มาบอกว่าน้าอ้อยไปแล้ว”
ตอนนี้ความรู้สึกของคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง?
“ตอนที่เขาโทรมา เขาร้องไห้ไปแล้วนะ ช่วงนี้ผมว่าอารมณ์เดียวกันหมด เพลงหรือว่าคุณแม่ผม ตอนนี้มันยังเป็นช่วงต้องจัดพิธี จัดอะไร แล้วก็รับแขก ก็คุยกันไว้แล้ว ว่าหลังจากนี้ ปั้นจั่นก็บอกทางสามีเพลง แล้วก็เพื่อนๆ เพลง ว่าตอนนี้เขายังดูเข้มแข็ง แต่ว่าหลังจากนี้ พอพิธีทุกอย่างมันจบไปแล้ว มันมีอยู่กับตัวเอง ความเศร้ามันก็คงจะเข้ามา ตอนนั้นเราก็คงต้องช่วยกันดูแลจิตใจต่อไป ที่สำคัญก็คือน้าโต้ง สามีน้าอ้อยที่ยังอยู่ เพราะว่าถ้าพูดไปแล้ว วันที่เสีย น้าโต้งก็หนักพอสมควร แล้วน้าโต้งเองก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมครับ ก็บอกน้องตลอด ว่ายังไงก็ต้องดูแลคนที่อยู่ให้ดี”
น้าอ้อยในความทรงจำของเราเป็นยังไง?
“ผมชอบไปหาน้าอ้อย เพราะว่าคุณแม่ผมไม่ค่อยซื้อของเล่นให้ผม น้าอ้อยจะซื้อของเล่นให้ผมเยอะ เวลาปีใหม่ก็จะได้ของเล่นแบบเท่ๆ แต่ก่อนเราไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ่อย เพราะผมกับเพลงเกิดเดือนเดียวกัน ห่างกันวันเดียว เราก็จะจัดวันเกิดด้วยกันบ่อยๆ แต่ก่อนเวลาไปไหนกับน้า ก็จะรู้สึกว่าเข้าใจแบบ น้าเป็นดารา มีแต่คนถ่ายรูปน้า ส่วนหนึ่งในการที่เราอยากเป็นนักแสดง อยากทำงานในวงการ เราก็ซึมซับมาจากตรงนั้นด้วย”
ทำไมเราถึงไม่บอกคนอื่น ว่าเราเป็นหลานน้าออย เพราะอาจจะเป็นใบเบิกทางที่ดี?
“ที่จริงน้าเคยพูดอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่เราทำได้ด้วยตัวเองได้ โดยที่น้าไม่ได้ช่วยเหลือ ถ้าปั้นจั่นก้าวด้วยขาปั้นจั่นเองได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดี แล้วเราก็ทำแบบนั้นมาตลอด แล้วมันก็ไปได้ดีนะ ส่วนใครที่รู้ ก็ถ้าเกิดว่าคนถาม เราก็จะบอก ถ้าใครไม่รู้ เราก็ไม่ได้บอกว่าเราเป็นหลานน้าอ้อยครับ”
พอวันนี้เราได้มาเป็นนักแสดงแล้ว น้าได้สอนอะไรเราไหม?
“ที่จริงเรื่องการทำงาน น้าไม่เคยบอก เหมือนตอนที่ผมเข้ามา ผมก็โตพอสมควรแล้ว เรื่องที่น้าสอน จะเป็นเรื่องของการทำบุญไหว้พระมากกว่า ผมไม่ได้มีโอกาสคุยก่อนที่จะแอดมินเข้าไอซียู แต่ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์ ตอนนั้นก็ให้กำลังใจน้าอ้อยไป ให้น้าอ้อยสู้ๆ สวดมนต์เยอะๆ คือตอนนั้นเราก็พอจะรู้ เราเป็นผู้ชาย เราก็เลยรู้สึกว่าเข้มแข็ง เรามองความจริงมากกว่าผู้หญิงในครอบครัว คือตัวผมเอง หนึ่งเป็นหลาน แล้วมันก็ไม่เท่ากับคนที่เป็นลูกหรือว่าคนที่เป็นพี่สาว แต่ว่าเราก็บอกน้องนะ ปั้นจั่นคุยกับเพลงก่อนหน้านี้ว่าให้เพลงทำใจ แล้วก็บอกคุณแม่ว่าให้แม่ทำใจ แล้วก็คุยกันเรื่องพวกนี้บ่อย ที่เราต้องคุยเพราะว่า ทำให้มันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน ถึงเวลาแล้วเหตุการณ์มันเกิดขึ้น เราจะได้อยู่กับมันให้ได้ มูฟออนต่อไปให้ได้ สุดท้ายแล้วคนอยู่ต่างหากที่สำคัญ เขาคงอยากมองกลับมาแล้วเห็นลูกๆ หลานๆ มีความสุขเราก็คุยกันว่าเราจะทำให้เต็มที่ ให้สมเกียรติกับที่น้าเป็นที่รักของประชาชน”
เคยได้ร่วมงานกันไหม ?
“ ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นละครพระราชนิพนธ์ เป็นละครเทิดพระเกียรติ ได้ถ่ายละครกับน้าอ้อยครั้งหนึ่ง ก็ไม่ค่อยชอบ เกร็งๆ ถ่ายกับคนในครอบครัว ก็จะเขินๆหน่อย ตอนนั้นเล่นเป็นแม่ลูกกัน “
ความรู้สึกเป็นยังไง ?
“ ถ้าพูดแล้วน้าก็เหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง เพราะตอนสมัยเด็กๆเลย ก็เลี้ยงผมไม่ต่างจากลูก เพราะว่าผมห่างกับเพลงปีหนึ่ง น้องคนเล็กของบ้านเราทั้งคู่ก็อายุเท่ากัน ไปไหนก็ไปเป็นแพ็ค บางทีน้าอ้อยไม่ว่าง แม่ก็ไปรับน้องเพลง บางทีแม่ไม่ว่างน้าอ้อยก็มารับผมที่โรงเรียน ซึ่งภาพความทรงจำก็เป็นแบบนั้น ครอบครัวเราใกล้ชิดกันมาก แต่ว่ามันมีแค่ระยะหลังเท่านั้น อาจจะด้วยเรื่องของเวลา ทำให้เราห่างกัน เพราะว่าตัวคุณแม่กับน้าอ้อยเอง เกษียณก็อยู่บ้าน เจอกันครั้งคราว ส่วนใหญ่จะคุยโทรศัพท์ ตัวผมเองก็จะเจอเพลงมากที่สุด เพราะว่าเราจะมีเพื่อนๆที่อยู่รุ่นๆเดียวกัน ใกล้ๆกัน รู้จักกัน อย่างผมเองก็รู้จักกับสามีเขา “
มีอะไรอยากจะบอกน้าอ้อยอีกไหม ?
“ ทีจริงผมบอกน้าอ้อยไป แต่ไม่รู้ได้ยินหรือเปล่า ให้น้าอ้อย หลับให้สบายนะครับ ก็ไปอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุข ส่วนน้องๆลูกๆหลานๆ ก็จะช่วยดูแลกันเอง ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นน้าโต้งหรือว่าพิณ ที่ห่วงเพราะเป็นน้องคนเล็ก ไม่ต้องปั้นจั่นกับเพลง ก็โตพอที่จะดูแลครอบครัวแล้ว เดี๋ยวเราช่วยกันดูแล เพราะเอาจริงๆก็มีกันอยู่แค่นี้ ที่เราต้องดูแลกัน “