พิสูจน์ภาพคนเก็บหวย ระยะ 20 ม.เอาผิดได้ไหม – "ปรเมศวร์" ชี้พยานคนไม่ฟันธงใครผิด (คลิป)

หลังจาก พล.ต.ท.กิตติพงษ์ เงามุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนและสอบสวน แถลงข่าวสรุปคดีลอตเตอรี่ รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท ระหว่าง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการเกษียณตำรวจ นำสลากไปขึ้นเงินรางวัล และ นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ว่า เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนคดีนี้เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2560 โดยต้องทำให้กระจ่างใน 3 ประเด็น ซึ่งหนึ่งในประเด็นนั้น  คือ ร.ต.ท.จรูญ ได้ลอตเตอรี่มาอย่างไร ประเด็นนี้ ตำรวจได้กล่าวว่ามีพยานบุคคลที่ยืนยันว่าเห็น ร.ต.ท.จรูญ เก็บลอตเตอรี่ในระยะ 20 เมตร

จากประเด็นดังกล่าวทีมข่าวได้เดินทางไปที่ บริษัท โฟลบริด คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญ จำลองภาพเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด โดยติดตั้งกล้องที่มุมอาคาร ความสูงจากพื้น 3 เมตร ใช้กล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ที่มีคุณสมบัติถ่ายภาพได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน

จากภาพจำลองเหตุการณ์ ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ในระยะ 10 เมตร และ 20 เมตร พร้อมทำท่าก้มเก็บสิ่งของ โดยจะเห็นว่า ภาพในระยะ 20 เมตร จับภาพได้แค่โครงร่างบุคคล สีเสื้อ และพฤติกรรมบางอย่าง แต่ไม่สามารถระบุหน้าตาได้อย่างชัดเจน ขณะที่ ภาพระยะ 10 เมตร กล้องสามารถจับภาพพฤติกรรม โครงร่างตัวบุคคล หน้าตา และสีเสื้อได้ชัดเจนมากขึ้น

นายเมธาวี เผ่าเมธวารีธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟลบริด คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า หากย้อนกลับไป กล้องวงจรปิด เมื่อ 1-2 ปีก่อน ความละเอียดไม่สูง เหมือนปัจจุบัน เป็นเพียงระบบ TVL หรือ ระบบอนาล็อกเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีความคมชัดสูง สามารถเห็นเส้นของเงาได้มากขึ้น แต่ภายใต้ของคุณภาพไม่ว่าจะใกล้ 10 เมตร หรือไกล 20 เมตร ย่อมมีความต่างอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อทดลองขยายภาพ ระยะ 20 เมตร จะเห็นตัวบุคคลอย่างเลือนลาง แต่เมื่อขยายภาพ ระยะ 10 เมตร จะเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นภาพจากกล้องวงจรปิด ระยะ 10 เมตร คุณภาพที่ได้ จะสามารถมองเห็นพฤติกรรมหรือใบหน้าบุคคลได้ค่อนข้างชัดเจน

 

นอกจากนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานใดชี้ชัด และยืนยันได้ว่า อดีตข้าราชการตำรวจเป็นคนก้มเก็บสลาก ถึงจะแจ้งข้อหา "รับของโจร" กับ ร.ต.ท.จรูญ แสดงให้เห็นว่า คดีดังกล่าวเพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่การพิสูจน์ความจริง หลังจากวันนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องไปพิสูจน์กันต่อว่า ได้สลากชุดนี้มาได้อย่างไร ซึ่งฝ่าย ครูปรีชา ที่อ้างว่า มีคลิปหลักฐานภรรยาของ ร.ต.ท.จรูญ ก้มเก็บสลากได้ ก็ยังไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ ถึงก้มเก็บจริงแล้วจะใช้สลากฯ ชุดที่ตนเองทำหายแล้วแจ้งความหรือเปล่า พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า มีการจงใจตั้งกล้องถ่ายคลิป มีความน่าเชื่อถือจริงหรือไม่ สำหรับภาพถ่ายบนแผงสลาก มีการถ่ายเก็บไว้ทุก ๆ ครั้ง หรือถ่ายไว้เฉพาะงวดที่มีปัญหา อีกทั้งต้องสร้างความน่าเชื่อถือให้แม่ค้าที่เป็นพยานครูปรีชา เสียก่อนว่า ต้นขั้วสลากมีที่ไปที่มาอย่างไร ทำไมถึงขายเกินราคา ประกอบกับคดีนี้สังคมมีความเคลือบแคลงสงสัยว่า ตำรวจผู้ใหญ่ในพื้นที่จะมีส่วนได้เสียหรือไม่

ส่วนฝ่าย ร.ต.ท.จรูญ ก็มีจุดอ่อนตรงที่ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าซื้อสลาก รางวัลมาจากใคร โดยเพียงแค่ลายพิมพ์นิ้วมือบนใบสลากก็เชื่อว่า ศาลคงไม่เอามาพิจารณา เพราะเป็นข้อยุติอยู่แล้วว่า จะต้องมีลายพิมพ์นิ้วมือของ ร.ต.ท.จรูญ เพราะเป็นคนนำไปขึ้นเงิน ซึ่งศาลจะให้ความสำคัญกับพยานหลักฐานต่างๆ อย่างเท่าเทียม เว้นแต่ มีบางกรณีที่ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นมีความสำคัญ เช่น ลายพิมพ์นิ้วมือบนกระบอกปืน ในคดีฆ่าคนตาย เป็นต้น สำหรับแนวทางหลังจากนี้ เมื่อมีการแจ้งข้อหายักยอกกับ ร.ต.ท.จรูญ พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนไปที่อัยการจังหวัด หากอัยการเชื่อตามที่ตำรวจเชื่อก็สั่งฟ้อง ซึ่งกรณีนี้ มีคดีทางแพ่งที่ ครูปรีชา ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ เป็นเหตุให้เกิดการอายัดเงินรางวัลค้างเก่า ซึ่งอยู่ในศาลเดียวกัน โดยศาลอาจจะให้คดีทางอาญาเสร็จก่อน เพื่อรอความเห็นคดีแพ่งชี้ก่อนว่าสลากฯ เป็นของใคร แต่ทั้งสองคดีจะต้องไม่แย้งกัน อย่างไรก็ตาม หากอัยการไม่เห็นด้วย เนื่องจาก พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักก็อาจสั่งไม่ฟ้อง และหลังจากนั้น ทางตำรวจภูธรภาค 7 อาจจะมีความเห็นแย้งอัยการ แล้วส่งเรื่องมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด วันนี้ยังฟันธงไม่ได้ว่าใครถูก ใครผิด เพราะคนชี้ขาดคือ ผู้พิพากษา แม้อัยการจะมีความเห็นสั่งฟ้องแล้วก็ตาม อยากให้ประชาชนจับตาดูต่อไป อย่าเพิ่งฟันธง ให้ฟังหูไว้หู แต่สุดท้ายเรื่องนี้ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหกแน่นอน