ขึ้นศาลครั้งแรกในชีวิต สำหรับ "ดีเจพล่ากุ้ง วรชาติ" มาจากการที่เจ้าตัวได้ทุ่มเงินล้านเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจกล้วยทอด แต่กลับโดนคู่กรณีที่เป็นหุ้นส่วนหยุดกิจการโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า รวมไปถึงยังไม่มีการจ่ายเงินหรือผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ แม้ว่าจะมีการเจรจามาก่อนหน้านี้ และทางคู่กรณีสัญญาว่าจะจ่ายเงินคืน แต่เวลาผ่านล่วงไปเกือบ 3 เดือนก็ยังไม่มีการจ่ายเงินมาให้ ทำให้เจ้าตัวต้องพึ่งทางกฎหมายเดินหน้าฟ้องร้องตามสิทธิ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "ดีเจพล่ากุ้ง" เดินหน้าฟ้องหุ้นส่วนธุรกิจกล้วยทอด ฉ้อโกงเงิน 1 ล้าน!
- “ดีเจภูมิ”-“ดีเจพล่ากุ้ง” เข้าครัวทำอาหารแจกให้กับประชาชนที่เดือดร้อน !!
- เจอดราม่า “ดีเจพล่ากุ้ง” ถูกชาวเน็ตจวกยับ หลังลงรูปในIG
พล่ากุ้ง พร้อมด้วยทนายความ และคู่กรณีได้เดินทางมายังศาลแขวงพระนครเหนือ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยทางศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีหมายเลขดำ ที่ 1861/2563
กรณีที่ "พล่ากุ้ง วรชาติ" เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหุ้นส่วนธุรกิจกล้วยทอด ข้อหาฉ้อโกงเงิน จำนวน 1,000,000 บาท จากกรณีที่เมื่อช่วง 2 ปีก่อนทางพล่ากุ้ง ได้มีการเซ็นสัญญาเพื่อร่วมกับธุรกิจเกี่ยวกับกล้วยทอดภายใต้ชื่อสินค้าแบรนด์หนึ่ง พร้อมจ่ายเงินร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนรายหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นทางพล่ากุ้งกลับไม่ได้ผลกำไรในส่วนแบ่งตามที่ตกลงไว้ ตลอดจนทางหุ่นส่วนรายดังกล่าวเองก็หยุกผลิตสินค้าโดยที่ไม่ได้เเจ้งล่วงหน้า ก่อนที่ทางพล่ากุ้งจะเดินทางไปสอบถามถึงรายละเอียดพร้อมเรียกร้องเงินจำนวน 1 ล้านบาทที่ลงทุนไป แต่ก็กลับโดนบ่ายเบี่ยงและไม่ทำตามสัญญา จึงนำมาสู่การฟ้องร้องในครั้งนี้
พล่ากุ้ง เล่าว่า เมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทางตนได้ไปเป็นกรรมการตัดสินให้กับรายการหนึ่ง แล้วบังเอิญได้พบกับคู่กรณี ตอนนั้นเขานำกล้วยทอดมาออกรายการ ด้วยความที่มันอร่อย และน่าสนใจ หลังจากที่จบรายการตนจึงเข้าไปพูดคุยเพื่อขอร่วมลงทุนด้วย ซึ่งทางเขาเองก็ยินดี และพร้อมร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยทางคู่กรณีได้ระบุจำนวนเงิน 1 ล้านบาทในหารร่วมหุ้น ส่วนตัวก็พร้อมจ่ายให้ทันที พราะก่อนที่จะลงทุนต้องยอมรับว่าสินค้าของเขามีวางขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้าจริง ตลอดจนมีป้ายกำกับว่าเป็นสินค้าขายดีในแต่ละห้างนั้น จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่โดนโกงแน่นอน
จากนั้นตนก็พยายามดีลนักธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์เพื่อมาขยายฐานการขายไปยังเมืองนอก ซึ่งทางหุ้นส่วนเองก็ตอบปากรับคำว่าจะทำแผนงานเสนอพร้อมผลิตส่ง แต่พอหลังคุยไปได้ 2-3 เดือนเขาก็กลับนิ่งเฉย ซึ่งเป็นแบบนี้อยู่ 2 ครั้ง ตนก็เริ่มเอ๊ะใจว่าเป็นยังไง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเขาเองก็ตอบเพียงว่าพอดียุ่งๆ เนื่องจากต้องทำงานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ด้วยเลยไม่ค่อยว่าง
หลังจากนั้นส่วนตัวก็เริ่มไปเดินสำรวจอีกครั้งว่าตามห้างต่างๆยังมีจำหน่ายอยู่ไหม ปรากฏว่าไปถึงไม่พบสิ้นค้าที่ตนลงทุนไปตั้งขายอยู่แล้ว มีเพียงแค่รายชื่อในระบบ ที่แจ้งว่าขาดการส่งของมาสักระยะหนึ่ง ก่อนที่จะติดต่อไปพูดคุยกับทางเจ้าตัว สุดท้ายเขาเองก็ยอมรับว่าไม่ได้ทำธุรกิจต่อเพราะได้นำเงินครึ่งหนึ่งที่ตนไปร่วมลงทุน (5 แสนบาท) ไปลงทุนกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่วนตัวยอมรับว่าโง่ เพราะตลอด 2 ปีที่ร่วมลงทุนไม่ได้มีการสอบถามหรือติดตามผลหลังลงทุนไป โดยหลังจากที่ทราบว่าโดนโกงก็มีการพูดคุยและไกล่เกลี้ยกับทางคู่กรณีแล้ว 1 ครั้ง ตอนนั้นมีการลงบันทึกประจำวันตลอดจนพาทนายความไปนั่งพูดคุย ซึ่งทางเขาพร้อมรับผิดชอบและชดเชยเงินให้จำนวน 5 แสนบาท ปรากฏว่าหลังจากนั้นหายไปประมาณ 3 เดือนก็กลับเงียบเฉย จนตนตัดสินใจเดินหน้าฟ้อง ซึ่งทางคู่กรณีก็รับทราบมาโดยตลอดว่าตนจะฟ้อง ซึ่งเขาเองก็นิ่งเฉย
เผยสำหรับการฟ้องร้องครั้งนี้ ส่วนตัวและทนายความเตรียมเรียกร้องเงินจำนวนเต็ม 1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยชดเชย หากทางคู่กรณีไม่ยอมชดเชยตามมูลค่าความเสียหายแล้วบทลงโทษน่าจะอยู่ที่จำคุกไม่เกิน 3 ปี ทั้งนี้ ส่วนตัวก็อยากให้ทางอีกฝั่งคุยเจรจาเพื่อตกลงให้ได้ข้อสรุปจะดีกว่า เรียกว่าไกล่เกลี่ยกันก็น่าจะยอมความกันได้ เผยตั้งใจอยากได้เงินคืนเต็มจำนวน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่ายด้วย.