เมื่อวันที่ 11 กันยายน 63 เวลา 09.30 พ.ต.ต.ปิยเดช แก้วแฝก สว.(สอบสวน) สน.บางเขน ได้รับแจ้งจากนายกาล รักภพ อายุ 39 ปี ว่าเป็นคนฆ่าย่าเสียชีวิตภายในบ้านพักชั้นเดียว บ้านเลขที่ 37/30 หมู่บ้านสุขนที ซอยลาดปลาเค้า 62 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบศพนางกิมฮั้ว ชนะณรงค์ อายุ 91 ปี นอนตะแคงขวา ส่วมเสื้อคอจีนลายดอกสีเขียว นุ่งผ้าถุงสีเขียวขี้ม้าลายดอก ถูกแทงด้วยของมีคมบริเวณใบหน้าฝั่งซ้าย และตามร่างกายจำนวน 10 แห่ง นอนเสียชีวิตจมกองเลือดบนเตียงไม้กลางบ้าน นอกจากนี้ยังพบมีดทำครัวยาว 1 ฟุต ใบมีดกับด้ามจับหลุดออกจากกัน พร้อมกรรไกรเปื้อนเลือดวางอยู่บนชั้นวางของ
ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุ พบเป็นบ้านตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง โดยชาวบ้านข้างเคียงปฏิเสธการให้ข้อมูลใด ๆ กับทีมข่าว บอกเพียงว่าไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรขณะเกิดเหตุ เนื่องจากทางครอบครัวของผู้ตายได้สั่งเอาไว้ และขู่ว่าจะฟ้องชาวบ้านทุกคนที่ให้ข่าว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางตาล (นามสมมติ) อายุ 65 ปี เจ้าของร้านขายของชำบริเวณใกล้เคียงบ้านที่เกิดเหตุ บอกกับทีมข่าวว่า นายกาล อาศัยอยู่ที่บ้านที่กิดเหตุตั้งแต่เด็ก โดยอาศัยอยู่กับนางกิมฮั้ว หรือ ผู้ตาย (ย่า) พ่อ และแม่ แต่เมื่อผู้ก่อเหตุอายุได้ประมาณ 12 ปี พ่อก็ได้เสียชีวิต ส่วนแม่ก็ทิ้งผู้ก่อเหตุแล้วหายออกไปจากบ้าน ทำให้นางกิมฮั้วคอยเลี้ยงดูผู้ก่อเหตุมาโดยตลอด
จากนั้นผู้ก่อเหตุจากเด็กเรียนเก่ง นิสัยร่าเริง ก็เริ่มกลายเป็นเด็กมีปัญหา เก็บตัว และมักหายตัวออกจากบ้านไปอยู่บ้านเพื่อนหลายวัน แล้วกลายเป็นคนเสพยาเสพติด ซึ่งถึงแม้จะเลิกเสพยาเสพติดแล้ว แต่ก็ยังคงมีอาการหลอนอยู่บ้าง เพราะเคยเสพยาเสพติดมาอย่าหนัก โดยผู้ก่อเหตุเพิ่งย้ายกับมาอาศัยอยู่กับย่าได้ประมาณ 1 เดือนกว่า หลังจากที่ออกไปทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยตามบ้าน
ทั้งนี้ตนไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น เนื่องจากย่าหลานคู่นี้รักกันมาก ผู้ก่อเหตุเป็นคนสุภาพ นิสัยดี มักพาย่าไปหาหมอเป็นประจำ ไม่เคยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับใคร แต่มักจะมีชาวบ้านชอบไปแกล้งหาว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนสติไม่ดีอยู่เป็นประจำ
โดยเมื่อเช้านี้ ผู้ก่อเหตุได้เดินออกจากบ้านมาหาตนที่ร้าน พร้อมถามตนว่าติดเงินค้าของชำอยู่เท่าไร ตนจึงตอบไปว่า 118 บาท เมื่อจ่ายเงินแล้ว บอกกับตนว่าจะไปอำเภอเพื่อไปแจ้งใบมรณะบัตร ตนไม่ขอซ้ำเติมผู้ก่อเหตุ ตนอยากให้กำลังใจมากกว่า ตนไม่รู้ว่าขณะก่อเหตุกำลังคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่ ตนบอกได้แค่ตนรู้สึกสงสารผู้ก่อเหตุ
จากการสอบสวน นายกาล รักภพ เบื้องต้น ทราบว่า ช่วงเย็นของวานนี้ ตนเกิดจินตนาการว่าได้ยินเสียงมีคนบอกว่าย่าเป็นคนไม่ดี และจะมาทำร้ายตน ตนจึงถือมีดแทงไปที่ย่าที่นอนอยู่บนเตียงจนมีดหัก
จากนั้นได้คว้ากรรไกรแทงซ้ำจนย่าเสียชีวิต นำเงินในกระเป๋าย่า 4,000 บาท ไปจ่ายค่าของที่ติดเงินไว้ที่ร้านขายของชำ ก่อนที่จะซื้อสุรามากินต่อที่บ้านจนหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาเกิดความรู้สึกผิดจึงเดินทางมอบตัว
ล่าสุดเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน นำตัวนายกาล รักภพ ไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา "ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา" ก่อนนำตัวส่งฝากขังศาลอาญารัชดา
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุเพิ่งย้ายกลับมาอยู่กับน่าได้ประมาณ 1 เดือน โดยผู้ก่อเหตุให้การว่าเลิกยาเสพติดมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รับฟัง และได้ส่งปัสสาวะของผู้ก่อเหตุไปตรวจสอบหาสารเสพติดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการตรวจ คาดว่าผู้ก่อเหตุนั้นเคยเสพยาเสพติดเกิดขนาด จึงทำให้มีอาการหลอนเป็นบางช่วง
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้คุยกับน.ส.ติ๋ม (นาสมมติ) อายุ 40 ปี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับผู้ก่อเหตุและผู้ตาย เชื่อว่าอาการหลอนของผู้ก่อเหตุที่มักจะได้ยินเสียงประหลาด อาจจะเกิดจากทางสามแพร่งก็ได้ ตนอายุรุ่นเดียวกันกับผู้ก่อเหตุ มีความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ขณะนั้นผู้ก่อเหตุยังร่าเริง จนเริ่มมีปัญหาพึ่งยาเสพติด
โดยก่อนที่จะติดยาเสพติด ไม่เคยมีอาการหลอนหรือหูแว่วใด ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีอาการหูแว่ว ซึ่งครั้งหนึ่งผู้ก่อเหตุเคยพูดขณะที่กำลังคุยอยู่กับตนว่า "มันมาตามแล้ว เราต้องไปแล้ว" ตนได้ถามกลับไปว่าใคร แต่ผู้ก่อเหตุกลับบอกว่า "พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ" ตนไม่รู้ว่าการที่ผู้ก่อเหตุพูดแบบนี้เป็นเพราะอาการหลอนจากสารเสพติดหรือเพราะผู้ก่อเหตุสัมผัสอะไรบางอย่างได้ เพราะบ้านตั้งอยู่บนทางสามแพร่ง
แต่ตนตั้งข้อสังเกตว่า หากเสพยาเสพติดเกินขนาด ผู้ก่อเหตุน่าจะหลอนอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่หลอนเป็นบางเวลา ยิ่งไปกว่านั้น เท่าที่ตนสังเกต บ้านของผู้ก่อเหตุไม่มีเครื่องราง หรืออุปกรณ์แก้เคล็ดทางสามแพร่ง ตนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ก่อเหตุรักย่ามาก มักคอยซื้อข้าวให้ย่าบ่อย ๆ ไม่คิดว่าจะก่อเหตุแบบนี้ได้ จากนี้ตนอยากให้ครอบครัวของผู้ก่อเหตุยกโทษให้ผู้ก่อเหตุ แล้วทำบุญให้ผู้ตาย เพื่อที่จะได้ไม่เป็นบาปกรรมต่อกัน