กรณีทีมทนายความจะช่วยลุงพล ฟ้องนายอัจฉริยะ จึงตัดสินใจให้ "ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด" เป็นผู้ดูแลคดีนี้ ขณะนี้มีการร่างฟ้องเรียบร้อยแล้ว เตรียมไปที่ศาลอาญาในวันจันทร์ที่ 14 ก.ย.63 เวลา 10.00 น. โดยเตรียมฟ้องคดีอาญา และหมิ่นประมาท
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
ล่าสุดวันที่ 14 ก.ย.63 นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้เรียกค่าเสียหายอะไร แค่อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ เป็นบทเรียน อยากให้นายอัจฉริยะ ออกมาขอโทษผ่านสื่อ ให้รับผิดชอบกับคำพูดที่พูดไป เพราะสิ่งที่พูดทำให้ครอบครัวของตนรู้สึกแย่
ทั้งนี้ลุงพล ยืนยันว่า ไม่เคยพูดว่า มีไฟแนนซ์ และ ธกส.มาทวงหนี้ที่บ้าน มีแต่เอกสารแจ้งหนี้เท่านั้น เคยค้างจ่าย 1-2 งวด เดือนถัดมาก็จ่ายรวบยอดไป แต่นายอัจฉริยะ พูดว่ามาทวงหนี้วันที่น้องชมพู่หายตัว เหมือนพยายามเชื่อมเรื่องนี้กับเรื่องการตายน้องชมพู่ จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายอัจฉริยะ เรื่องจะขอโทษ แต่ถ้าขอโทษผ่านสื่อตนก็พร้อมยกโทษให้ เพราะไม่ได้มีความขัดแย้ง โกรธเคืองอะไรกับนายอัจฉริยะ
ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยว่า วันนี้มายื่นฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ที่ได้ไลฟ์สดพาดพิงลุงพล เรื่องมีหนี้สิน และถูกทวงหนี้ เหมือนชี้ชวนให้คนเข้าใจผิดว่า ลุงพลมีส่วนทำให้น้องชมพู่เสียชีวิต ทั้งที่คนมีหนี้สินเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เอามาประจานกันแบบนี้
ตอนแรกที่ลุงพลกับ นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลามาปรึกษาตน ตนปฏิเสธไป เพราะเข้าใจว่ามีทนายความอยู่แล้ว แต่พอตรวจสอบแล้วทราบว่า ยังไม่มี ตนก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ เพราะตนเป็นทนาย ด้วยวิชาชีพก็พร้อมให้คำแนะนำเรื่องกฎหมายได้
หมอปลา เปิดเผยว่า มีผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นตัวแทนนายอัจฉริยะ ได้ประสานมาทางภรรยาว่า ขอโทษแล้วให้เรื่องนี้จบได้หรือไม่ ตนก็ตอบกลับไปว่า ขอโทษได้ แต่ต้องมาขอโทษที่หน้าศาล ต่อหน้าลุงพล ตน ทนายตั้ม และต่อหน้าช่องอมรินทร์ทีวี เมื่อแจ้งไปแล้ว แต่ไม่ตอบตกลงมาก็เลยเดินหน้าฟ้อง แล้วให้ศาลเป็นคนตัดสิน ถ้าไม่ขอโทษก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ให้กฎหมายตัดสิน ไม่ใช่ว่าจะมาตัดสินคนอื่นโดยเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เพราะตนบอกแล้วว่า ลุงพลเหมือนคนในครอบครัว และตนไม่กลัวถูกฟ้องกลับด้วย เพราะตนกับลุงพลไม่ได้ไปเสือกเรื่องของชาวบ้าน
สารวัตรแรมโบ้ เปิดเผยว่า นายชัยวัฒน์ เจ้าของธุรกิจขายของเบ็ดเตล็ด ขายกาแฟน้ำดื่มอาหารแห้ง ได้มอบเงิน 5 หมื่นบาท สมทบรางวัลนำจับคนร้ายในคดีน้องชมพู่อีกด้วย และมอบให้พลเมืองดีที่มาให้ข้อมูล เพื่อชี้ช่องให้ตำรวจสามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้ จึงประสานและติดต่อมาทางตนเองว่า ขอมอบเงินช่วยเหลือ ขณะนี้เงินนำจับสูงถึง 350,000 บาท
ส่วนกรณีที่นางเทียนสมัย หรือยายอ้อน ชาวบ้านภูกะโล้น ออกมาตั้งข้อสังเกตกรณีตำแหน่งการนั่งในรถกระบะของลุงพล หลังส่งพระครูบารัตน์เสร็จ มีการเว้นเบาะที่นั่ง โดยสงสัยว่ามีอะไรวางหรือนั่งอยู่นั้น
ทีมข่าวยังได้ไปเจอกับชาวบ้านภูกะโล้น ที่เห็นรถกระบะลุงพลเข้า-ออกวัด วันที่ 11 พ.ค.63 "ป้าอ้อน" หรือ นางเทียมสมัย นามเหลา อายุ 64 ปี เปิดเผยว่า วันดังกล่าวตนเห็นท้ายรถกระบะ มีบาตรพระ และกลด ประกอบกับเห็นผ่านกระจกว่า มีพระนั่งมาด้วย ตนจึงพูดกับนางสมนึกว่า “สงสัยรถมาส่งพระ” ตอนนั้น ก็ไม่ทันได้มองว่า ด้านในรถมีใครนั่งมาด้วย เพราะค่อยข้างดูยาก เนื่องจากติดฟิล์มมืด
จากนั้นไม่นานรถกระบะคันดังกล่าวก็ขับกลับออกมา โดยมีการลดกระจกลงฝั่งคนโดยสารด้านหน้า ซึ่งเห็นผู้ชายเป็นคนขับ จนมาทราบทีหลังว่า คือ ลุงพล ส่วนผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังบอกของคนขับ คือป้าแต๋น แต่ไม่เห็นนายม็อคกับนางถอน เพราะเชื่อว่าอาจเป็นเพราะฟิล์มรถมองไม่เห็น ลุงพลพูดว่า “มาส่งพระ ฝากดูแลพระด้วย เป็นพระมาจากภูผาแอก” ตนจึงได้เพียงแต่พูดว่า “สาธุ” แล้วกระบะก็ขับออกไป
ส่วนตัวสังเกตพฤติกรรมลุงพล และคนในรถแล้ว ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ ไม่มีของที่คาดว่าซุกซ่อนเด็กได้ อีกทั้งในรถยืนยันได้ 100% ไม่มีเด็กในรถแน่ เพราะถ้ามีตนต้องได้ยินเสียงร้อง และโดยนิสัยเด็ก เวลาอยู่ในรถ จะต้องโผล่หัวออกมาเล่นตอนเปิดกระจก แต่วันนั้น ไม่มีใครโผล่ขึ้นมา