พี่ชายรับผิดทำน้อง ม.3 จะฆ่าตัวตาย เคยชกปากแตกหวังสั่งสอน - โชเฟอร์ปัดโกง (คลิป)

กรณีหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี รับแจ้งว่ามีเด็กนักเรียนพยายามจะกระโดดสะพานลอยตาย บนถนนสุขุมวิท หลัก กม.174 ขาเข้าพัทยา ม.1 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ หน้าหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ เข้าตรวจสอบ

อ่านข่าวเพิ่มเติม

เปิดปมสุดเศร้า เด็ก ม.3 คิดสั้นถูกรถสองแถวโกงเงินทอน ป่วยโรคเครียดเจอพี่โหด

โดยที่เกิดเหตุพบชายวัยรุ่นอายุ ประมาณ 14-15 ปี ในชุดนักเรียนยืนอยู่บนสะพานลอย ทำท่าจะกระโดดลงมา มีเพื่อน ๆ ยืนตะโกนเกลี้ยกล่อมให้ลงมาจากสะพานลอย ก่อนมีพลเมืองดีนำตัวลงมาจากสะพานลอยได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อเผลอก็จะพุ่งตัววิ่งให้รถชนอีกครั้ง จนต้องเข้าเกลี้ยกล่อมให้สงบสติอารมณ์

ทั้งนี้ที่สภ.สัตหีบ เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวนายจตุพล ชาวเชียงยืน อายุ 27 ปี คนขับรถสองแถวสายสัตหีบ-นาเกลือ เข้ามาสอบปากคำ โดยอยู่ระหว่างการให้ปากคำ

สอบถามนายจรญญา ชาวเชียงยืน อายุ 47 ปี พ่อคนขับ กล่าวว่า ทราบว่าลูกชายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกมาสอบปากคำ จึงตามมาให้กำลังใจ แต่ยังไม่รู้รายละเอียดเหตุการณ์ เบื้องต้นคาดว่าหากลูกไม่ได้ทอนเงินให้นายเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหายจริง น่าจะเกิดจากการหลงลืมมากกว่า มั่นใจว่าลูกไม่ได้ตั้งใจโกง เพราะไม่เคยมีประวัติ ลูกชายตนขับรถมาประมาณ 10 ปี ไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนมาก่อน

ส่วนค่าโดยสารของนักเรียนอยู่ที่ประมาณ 20 บาท ทั้งนี้การที่นายเอตัดสินใจจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย คิดว่าไม่น่าเกี่ยวกับเงิน 100 บาทที่จ่ายค่ารถสองแถวแล้วไม่ได้คืน เพราะจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่น่าจะเป็นความกดดันจากเรื่องอื่นมากกว่า

นายจตุพล ชาวเชียงยืน อายุ 27 ปี คนขับรถสองแถวคันเกิดเหตุ กล่าวว่า ตนไม่ได้ตั้งใจโกงเงินนายเอ (นามสมมติ) โดยค่าโดยสารจากต้นทางถึงจุดเกิดเหตุราคา 20 บาท ช่วงที่เด็กลงจากรถก็กรูกันมาจ่ายเงิน ส่วนใหญ่เป็นเหรียญและแบงก์ 20 บาท โดยไม่ต้องทอนเงิน ตนไม่ได้สังเกตว่ามีการจ่ายแบงก์ 100 และก็ไม่มีเด็กนักเรียนยืนรอให้ทอนเงิน หรือทวงถามเงินทอน รวมถึงตนก็ไม่ได้ไล่เด็กตามที่มีข่าวออกมา

ทั้งนี้วันเกิดเหตุมีผู้โดยสารกว่า 50 คนขึ้นรถตั้งแต่ต้นสายถึงปลายสาย ตนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านายเอ ขึ้นรถคันที่ตนขับ และจำหน้าอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเด็กนักเรียนมีจำนวนเยอะมาก โดยส่วนตัวคิดว่าการที่เด็กตัดสินใจจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเงิน 100 บาทด้วย จึงรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากขอโทษนักเรียนผู้เสียหาย หากทำให้ไม่สบายใจ

ต่อมาทางขนส่งจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการลงโทษเปรียบเทียบปรับนายจตุพล ตามมาตรา 159 แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 เรียกเก็บค่าขนส่งผิดไปจากอัตราที่ทางราชการกำหนด ปกติสายนี้จะเก็บค่าโดยสาร 14 บาทเท่านั้น นายจตุพลเก็บ 20 บาท ถือว่าเกินกว่าราคาที่กำหนด ในอัตราสูงสุดเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท โดยได้อบรมและบันทึกประวัติการกระทำความผิด กำชับมิให้กระทำผิดซ้ำเกิดขึ้นอีก

จดหมายของนายเอ ระบุว่า ผมขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนต่อครูทุก ๆ คน ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ ปล.ขอให้เพื่อนถึงฝั่งฝัน ให้เจอแต่สิ่งที่ดี

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายสหภาพ ไวยบริสุทธิ์ อายุ 24 ปี พี่ชายของนายเอ กล่าวว่า พ่อกับแม่ของตนแยกทางกันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นตนต้องอยู่เลี้ยงน้องชายตามลำพัง เพราะพ่อไปราชการที่ จ.จันทบุรี ส่วนแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ที่ผ่านมาตนพยายามสั่งสอนน้อง เพราะอยากให้น้องได้ดี แต่นายเอเป็นคนขี้เกียจ มีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบทำงานบ้าน รวมถึงไม่ทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายมา ตนจึงต้องลงโทษไปบ้าง ทั้งการตีด้วยไม้ เคาะศีรษะจนปูด หรือเวลาโมโหมาก ๆ ก็เคยต่อยหน้าน้องชายไป 3-4 ครั้งจนปากแตก ซึ่งทุกครั้งตนก็จะทายา หรือพาไปหาหมอ ตนทำไปเพราะรักน้องมากเกินไป

กระทั่งน้องชายเคยหนีไปอยู่กับป้ารอบแรกช่วงเดือนมีนาคม แต่ตนไปตามกลับมา เพราะไม่อยากให้ไปรบกวนคนอื่น ซึ่งช่วงหลังตนก็ไม่ทำร้าย แต่ใช้วิธีการพูดคุยแทน ซึ่งก็ยังไม่ดีขึ้น จนล่าสุดเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมาก็พูดคุยกันดี ๆ ว่าหากไปอยู่ที่อื่นก็ให้ลองไปดู แต่หากอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ให้กลับมา จนน้องชายตัดสินใจย้ายไปอยู่กับป้า โดยบอกว่าไม่อยากทำให้ตนลำบากใจ

โดยช่วงที่ย้ายไปอยู่กับป้า ตนก็ยังติดต่อพูดคุยกับน้องตลอด กระทั่งมาทราบว่าน้องจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย ก็ตกใจมาก หลังเกิดเหตุยังไม่ได้คุยกับน้อง เพราะพยายามติดต่อไป แต่น้องไม่พร้อมพูดคุยด้วย คิดว่าสาเหตุหลัก ๆ น้องน่าจะเครียดกลัวไม่มีเงินกินข้าว และกลัวว่าป้าจะดุด้วย

ที่ผ่านมาช่วงน้องชายอยู่กับตนไม่เคยพูดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่มีความกดดันเรื่องเรียนจนต้องกินยาคลายเครียด รวมถึงเรื่องครอบครัว โดยน้องชายเหมือนเด็กเก็บกด ชอบวาดภาพมือเปื้อนเลือด โดยหลังเกิดเหตุพ่อกับแม่ก็ติดงานยังไม่มีเวลากลับมาดูน้อง ตนก็ขอปล่อยให้น้องผ่อนคลาย รวมถึงเข้ารับการบำบัดให้อาการดีขึ้นก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยม เพราะห่วงว่าน้องชายจะคิดสั้นอีก