จากกรณีเด็กหญิงวัย 2 ขวบ 4 เดือน เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอ่างทอง โดยพบว่าร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ บริเวณลำคอ แก้ม และรอยเล็บทั่วตัว นอกจากนี้มีผมหลุดร่วงหายไปจำนวนมาก ประกอบกับผลเอ็กซเรย์ยังพบวัตถุคล้ายตะปู หรือ น็อต อยู่ในกระเพาะอาหารด้วย
ล่าสุดวันนี้ (18 ก.พ.61) พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี พร้อมด้วยนายลัทพล อุ่นละม้าย พ่อของ ด.ญ.วัย 2 ขวบ ได้เดินทางมายังบ้านพักที่ จ.ชลบุรี เพื่อสอบปากคำนางสาวเบญจมาศ เทียนทอง ยายแท้ๆ ของเด็ก และนายสุบิน เทียนทอง ตาทวดของเด็ก
จากการสอบปากคำเบื้องต้น ทุกคนยืนยันว่า น้องไม่มีบาดแผล และไม่มีใครตีหรือทำร้ายน้อง โดยคดีมีความคืบหน้าไปมาก แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ใด อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และดูผลตรวจแพทย์เป็นหลัก ส่วนลุง และพี่เลี้ยง ยังยืนยันว่าไม่ได้ทำร้ายเด็ก บาดแผลตามตัวที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำของเด็กเอง
นายสุบิน เทียนทอง อายุ 70 ปี ตาทวดของเด็ก ให้สัมภาษณ์หลังจากให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนานกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที หลังตำรวจมาถามข้อมูลว่า ขณะที่น้องอยู่ที่บ้านหลังนี้เป็นยังไงบ้าง ก็ตอบไปตามปกติ ยอมรับว่าเพิ่งทราบข่าวหลานของตัวเอง เพราะตอนที่ดูข่าวก็เห็นว่าอยู่ จ.อ่างทอง แต่ไม่รู้ชื่อเด็ก จึงไม่คิดว่าเป็นหลานตัวเอง โดยตนเป็นคนเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิด และรักหลานมาก จะให้ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวตลอด เพราะกลัวเนื้อตัวจะเป็นรอย ยอมรับว่าเลี้ยงหลานแบบประคบประหงม
ตอนที่พ่อเด็กเอาหลานไปฝากเลี้ยงที่ต่างจังหวัด ตนไม่ทราบเรื่อง เพราะวันที่เอาไปพ่อเด็กไม่ได้บอกอะไร และที่ผ่านมาพ่อเด็กมักจะพาหลานกลับไปบ้านพี่ชาย พาไป 2-3 วันก็กลับมา แต่ครั้งนี้ไปแล้วไม่ได้พากลับมาด้วย พอ กลับมาที่บ้าน จ.ชลบุรี ก็ไม่ยอมพูดอะไร ตนเองก็นอนไม่หลับเพราะคิดถึงหลาน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พ่อกับแม่เด็กบอกว่าจะไปหาหลาน แต่ไม่ได้บอกเลยว่าหลานป่วย หรือเข้ารพ. มารู้ทีหลัง รู้สึกเหมือนใจสลาย เหมือนพ่อแม่พาหลานไปตกนรก ถ้าเป็นไปได้ให้ตนตายแทนหลานได้ตนก็ยอม
ส่วนผลการตรวจของแพทย์พบว่า มีรอยซี่โครงหัก นายสุบิน กล่าวว่า น่าจะถูกใครซักคนกระทืบ ไม่เช่นนั้นคงไม่บาดเจ็บขนาดนั้น และยืนยันว่าก่อนที่พ่อและแม่เด็กจะนำหลานไปฝากเลี้ยง หลานไม่ได้เจ็บป่วย เนื้อตัวไม่มีแผล ผมไม่ได้หลุดร่วงเป็นกระจุก หากจะบอกว่าหลานทำตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ และหากบอกว่าพ่อกับแม่เด็ก หรือคนที่เลี้ยงหลานที่ชลบุรีทำร้ายก็เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครทำร้ายน้อง หลังจากนี้ตนจะนำหลานกลับมาเลี้ยงเอง พร้อมทั้งฝากไปถามคนที่ทำกับน้องแบบนี้ด้วยว่าจิตใจโหดร้าย จิตใจทำด้วยอะไร เด็กสู้อะไรไม่ได้ ทำไมต้องทำน้อง
ด้าน
นางสาวเบญจมาศ เทียนทอง อายุ 42 ปี ยายแท้ของเด็กหญิงที่ถูกทำร้าย กล่าวว่า เพิ่งทราบข่าวเด็กมีตะปูอยู่ในท้อง และเนื้อตัวมีรอยแผลว่าเป็นหลานของตัวเอง โดยแม่ของเด็กไม่ได้บอกอะไร บอกแค่ว่าไปเยี่ยมลูก ตั้งแต่ น้องเกิดมาจะมีตนกับตาทวดช่วยกันเลี้ยงดูอย่างดี โดยน้องเป็นเด็กอารมณ์ดี ขี้เล่น ซนบ้างตามประสาเด็ก ซึ่งที่บ้านไม่เคยมีใครตีน้อง
ที่ผ่านมา พ่อของเด็กมักจะพาหลานไปเที่ยวที่บ้านใน จ.อ่างทอง 2-3 วัน จึงพากลับมา ครั้งล่าสุด ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปฝากเลี้ยง เพราะถ้าตนรู้ก็จะไม่ให้เอาไปแน่นอน ตนเลี้ยงเองได้ไม่ได้มีปัญหาอะไร
นางสาวเบญจมาศ กล่าวว่า ได้โทรไปถามลูกสาว (แม่ของเด็ก) แล้วว่าใครเป็นคนทำ ลูกสาวบอกว่ายังไม่รู้ เพราะเอาไปฝากเลี้ยง และตั้งแต่เอาหลานไป ตนก็ยังไม่ได้คุยกับหลานเลย มีแต่พ่อกับแม่เด็กที่โทรไปถามคนเลี้ยงก็บอกว่า เด็กอยู่สบายดี ตอนนี้รู้สึกแย่ สงสารหลานมากที่สุด และจะเอาเรื่องผู้ที่ทำร้ายหลานให้ถึงที่สุด และถ้าเป็นไปได้จะพากลับมาเลี้ยงเอง
นายเสน่ห์ ศรียศ อายุ 70 ปี เพื่อนบ้าน บอกว่า ด.ญ.วัย 2 ขวบ เป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี น้องมักมาวิ่งเล่นที่บ้านตนเป็นประจำ และชอบเล่นซ่อนแอบ ตนก็ชอบนำน้องไปแอบตาทวดให้ตาทวดมาตาม เพราะตาทวดเป็นคนเลี้ยงที่รักหลานมาก เลี้ยงหลานอย่างดี ทุกคนรัก ไม่เคยเห็นว่าดุหรือตีน้อง เพราะตาทวดจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องหลานเลย ตลอดเวลาที่เห็นน้องไม่เคยเห็นมีแผลถลอกตามตัว
ส่วนพ่อแม่ของน้องทำงานโรงงานไม่เคยคุยด้วย แต่เห็นชอบพาน้องไป จ.อ่างทอง นาน 2-3 วัน ล่าสุด เอาไปนานไม่พากลับมา ตนยังถามตาทวดอยู่เลยว่า ทำไมให้เอาหลานไป
นายเสน่ห์ ยืนยันด้วยว่า น้องไม่มีนิสัยชอบทำร้ายตัวเอง มั่นใจว่าต้องมีคนทำอย่างแน่นอน รับประกันได้ว่า คนแถวนี้ไม่ว่าจะเป็นตาทวด ยาย พ่อแม่เด็ก หรือเพื่อนบ้าน ไม่มีใครทำน้อง เพราะวันที่พ่อเด็กพาไปฝากเลี้ยง ตนก็เห็นน้องยังปกติดี ผมไม่หลุด ตัวไม่มีแผล พอเห็นข่าวแล้วรู้สึกสงสาร อยากให้น้องกลับมาอยู่ที่นี่
ขณะที่
นายลัทพล อุ่นละม้าย พ่อของเด็ก บอกว่า อาการของน้องตอนนี้ยังทรงตัว หมอสั่งงดข้าวงดน้ำ มีรอยซี่โครงหัก กระดูกหลังบวม และมีน็อตสกรูอยู่ในท้อง ซึ่งตนยังไม่ได้คุยกับพี่ชาย คือ นายกมล อุ่นละม้าย โดยรู้สึกโกรธที่พี่ชายออกมาให้สัมภาษณ์ว่า น้องมีแผล มีรอย ตั้งแต่ก่อนที่ตนจะพาไปฝากเลี้ยง ซึ่งยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ตนได้นำน้องไปฝาก นายกมลเลี้ยงตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.60 เพราะตั้งใจไว้ว่าเดือน เม.ย. นี้ ตนกับแฟนจะลาออกจากงานที่ จ.ชลบุรี และกลับไปทำเกษตรที่บ้าน จ.อ่างทอง จึงนำน้องไปฝากไว้เพื่อให้ปรับตัวเข้ากับญาติก่อน ซึ่งตอนแรกไม่ทราบว่าพี่ชายจะเอาน้องไปฝากให้นางแตงเลี้ยงอีกทีหนึ่ง มาทราบเมื่อเดือน ม.ค.61 และได้กำชับพี่ชายแล้ว แต่พี่ชายบอกว่าไว้ใจได้คนนี้เป็นเพื่อน และเคยเลี้ยงเด็กมาก่อน ตนจึงไม่ได้ว่าอะไร และตั้งแต่เอาน้องไปฝากเลี้ยงกับนางแตง พี่ชายก็บอกตลอดว่าน้องอยู่ดี กินดี ร่าเริง แต่พอตนจะกลับไปเยี่ยมก็บ่ายเบี่ยงว่า ยังไม่ต้องมา ให้มาทีเดียวเดือนเม.ย.
นายลัทพล กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าพี่เลี้ยงที่ชื่อแตงเป็นคนทำ เพราะเมื่อวานนี้ตอนดูข่าว พอถึงช่วงสัมภาษณ์พี่เลี้ยง ตนก็หยุดภาพนิ่งค้างไว้ที่หน้าพี่เลี้ยงและถามน้องว่า รู้จักคนนี้ไหม น้องบอกว่า "รู้จักค่ะ" ถามว่ากลัวไหม น้องบอกว่า "กลัว" ตนจึงถามต่อว่า ทำไมกลัว น้องก็นิ่งไม่ยอมพูดอะไร ตนจึงพูดต่อว่าถ้าพ่อให้ไปอยู่กับเขาเอาไหม น้องก็ร้องไห้ดังลั่นขึ้นมาทันที
ยอมรับรู้สึกว่าคิดผิดเป็นอย่างมากที่ส่งลูกไปให้คนอื่นเลี้ยง จากเด็กที่เคยร่าเริง กลายเป็นเด็กซึม ผวา ซึ่งตนรับไม่ได้ ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าพี่เลี้ยง หรือใครเป็นคนทำก็ตาม และตั้งข้อสังเกตว่า พี่ชายกับนางแตง บอกว่ารักลูกของตน ทำไมตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่เคยมาเยี่ยมลูกตนเลยซักครั้ง